"ครูในโรงเรียนบอกว่า ห้ามพูดภาษาลาว ให้พูดภาษาไทยเพราะเราเป็นคนไทย แล้วเวลาเผลอพูด เพื่อนมักจะล้อว่า “อิลาว” ซึ่งตอนนั้นมันคือคำเหยียด ทำให้เราไม่กล้าพูดภาษาลาว ไม่อยากโดนเพื่อนล้อเพราะมันทำให้เราต่างจากพวก พอกลับมาบ้านก็พูดแต่ภาษาไทยกลางกับพ่อแม่ แล้วหนูก็ถูกพ่อแม่ล้อว่าเป็นคนไทย คนเมืองลูกคุณหนู"
กีกี้ ชาว จ.อุดรธานี หนึ่งในนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น และนักกิจกรรมทางการเมืองเล่าถึงชีวิตในวัยประถม(ราวปี พ.ศ. 2553) ของเธอกับการถูกห้ามพูดภาษาท้องถิ่น สิ่งเล็ก ๆ นี้อาจไม่สะดุดตาผู้ใหญ่ แต่สำหรับหัวใจเด็กเล็ก ๆ มันคือการบอกว่า “ตัวตนของเธอไม่ดีพอ” ไม่ใช่แค่เรื่องความรู้สึก เด็กที่ไม่ได้เรียนในภาษาแม่ยังตามบทเรียนไม่ทัน หลายคนคิดว่าตัวเองเรียนไม่เก่ง ทั้งที่จริงแล้วพวกเขาแค่กำลังถูกกีดกันจากภาษา เด็กบางคนเลิกพูดภาษาถิ่นกับพ่อแม่ในช่วงเด็ก เช่นเดียวกันกับกีกี้ เพราะอายและไม่อยากถูกล้อในโรงเรียน ส่งผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวและรากเหง้าวัฒนธรรมที่ค่อย ๆ ถูกตัดขาด
เธอเล่าต่อว่า เริ่มกลับมาพูดภาษาลาวอีกครั้งในช่วงที่เรียน ม.ปลาย และเริ่มทำกิจกรรมทางการเมือง เนื่องจากสภาพแวดล้อมและเพื่อนสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้เธอในการพูดภาษาท้องถิ่นได้โดยไม่รู้สึกกังวล
ซึ่งเรื่องราวของกีกี้เชื่อมโยงกับ พักตร์วิไล สหุนาฬุ หรือไก่ ที่ปรึกษามูลนิธิเครือข่ายความหลากหลายทางเพสอีสาน (IGDN) และผู้ก่อตั้งกลุ่มเยาวชนเสขรภูมิ เผยถึงสถานการณ์ในโรงเรียนช่วงที่เขายังเรียนอยู่ประถมแถวบ้าน ใน อ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ราวปี พ.ศ. 2514 ซึ่งเป็นเขตชายแดนไทยติดกับประเทศกัมพูชา พักตร์วิไลเล่าว่าในย่านที่เธออาศัยอยู่มี 3 ชาติพันธุ์ คือ เขมร ลาว กูย (ส่วย)
“ตอนพี่เรียนประถม ครูบอกว่าห้ามพูดภาษาเขมร ให้พูดภาษาไทย เรียนก็เรียนภาษาไทย ถ้าพูดภาษาท้องถิ่นครูบอกจะหักคะแนน ที่โรงเรียนประถมสุรินทร์ (ป.สร.) เขาก็ห้ามพูดหมดเลย” พักตร์วิไล กล่าว
สอดคล้องกับนโยบายด้านการใช้ภาษาไทยในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อปี พ.ศ. 2483 ซึ่งช่วงนั้นอยู่ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง และนั่นอาจจะเป็นผลพวงมาจากการสร้างชาติของรัฐไทย ที่ได้มีหนังสือแจ้งถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เรื่อง “ให้คนไทยเลิกใช้ภาษาต่างด้าวและให้ใช้ภาษาไทย” กล่าวคือ ให้ใช้ภาษาไทยกลางเพียงภาษาเดียวเป็นหลักในโรงเรียน สถานที่ราชการ การติดต่อราชการ รวมถึงสื่อมวลชน
มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 24 มิถุนายน 2483 ว่าด้วย “รัฐนิยมฉบับที่ 9 เรื่องภาษาและหนังสือไทยกับหน้าที่พลเมืองที่ดี” ให้ชนชาติไทยพูดและใช้ภาษาไทยขึ้นไว้เป็นหลักดำเนินการ เพื่อส่งเสริมความเป็นชาตินิยม และเพื่อให้ประชาชนเป็นเอกภาพของรัฐไทย นอกจากนี้ในเวลาเวลาต่อมารัฐได้เริ่มให้มีการร้องเพลงชาติหน้าเสาธง
โดยเอกสารได้ระบุการปฏิบัติของราชการ ดังนี้
“ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือข้าราชการ เมื่อพูดจาติดต่อกับชุมชนที่อาศัยใช้ภาษาต่างด้าว จะต้องถือโอกาสชี้แจงเหตุผลทางได้ทางเสีย ชักจูงให้เกิดความรู้สึกจำเป็นที่จะเลิกใช้ภาษาต่างด้าว และหันกลับมาใช้ภาษาไทย, ข้าราชการต้องพูดและใช้ภาษาไทย, ราษฎรคนไทยที่มากิจธุระตามสถานที่ราชการ ต้องใช้ภาษาไทย, โรงเรียนประชาบาล ตามหมู่คนไทยที่ใช้ภาษาต่างด้าว จะต้องรีบจัดตั้งขึ้นให้ทั่วถึง, คัดเลือกราษฎรคนไทยตามหมู่บ้านที่รู้ภาษาไทย เป็นผู้ช่วยสอนชี้แจงแก่หมู่คนในหมู่บ้าน, จัดทำคู่มือปทานุกรมภาษาไทยเทียบกับภาษาต่างด้าว, การจัดตั้งการศึกษาผู้ใหญ่ของกระทรวงธรรมการโดยเล็งผลแห่งการพูดและใช้ภาษาไทยเป็นพิเศษ, ด้านศาสนาขอความร่วมมือในการพูดและใช้ภาษาไทย, ให้ผู้แทนราษฎรและสมาชิกสภาจังหวัด หาโอกาสไปเยี่ยมและชี้แจงทำความเข้าใจให้คนไทยในท้องที่ กลับมาใช้ภาษาไทย, สนับสนุนให้คนไทยได้ใช้ภาษาไทย ให้รางวัลแก่ผู้กลับมาใช้ภาษาไทย จัดเครื่องรับวิทยุกระจายเสียงภาษาไทยตามชุมชน”
ต่อมานโยบาย “ห้ามพูดภาษาท้องถิ่นในสถานที่ราชการ” ดังกล่าวถูกยกเลิกเมื่อปี พ.ศ.2549 ตอนที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยส่งเสริมให้มีการเรียนการสอนภาษาท้องถิ่นควบคู่กันไปกับการสอนภาษาไทย
ขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภาษาอย่างมาก โดยเฉพาะในภูมิภาคต่าง ๆ ที่มีภาษาถิ่นและสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะอัตลักษณ์ เช่น ไทลาว, ไทดำ, ไทใหญ่, มอแกลน, อูรักลาโว้ย, มลายูมุสลิมภาคใต้, กะเหรี่ยง, อาข่า, ลาหู่, ลีซู, มลาบรี ฯลฯ
แต่ความหลากหลายเหล่านั้นกลับต้องเผชิญกับความอับอายเมื่อพูดภาษาแม่ของตน และหลายครั้ง ภาษาท้องถิ่นกลับถูกเอามาล้อเลียนให้เป็นเรื่องตลก ซึ่งเป็นผลพวงจากการสร้างความเป็นชาติเพียงอัตลักษณ์เดียว กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้จึงถูกบังคับให้ “ปิดเสียงบ้านเกิดของตนเอง” เพื่อให้เข้ากับระบบการศึกษาและสังคม ทำให้ภาษาท้องถิ่นค่อย ๆ หายไปจากพื้นที่สาธารณะ และผลักให้วัฒนธรรมของชุมชนตกอยู่ในความเสี่ยงของการสูญหาย ส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยค่อย ๆ ลบเลือนไป เนื่องจากถูกเบียดขับออกจากหลักสูตรทางการศึกษา ถูกทำให้เป็นอื่น อันเป็นผลกระทบมาจากการประกาศใช้ภาษาไทยกลางเป็นหลักเพียงภาษาเดียวเท่านั้น
สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงการเลือกปฏิบัติทางภาษา ที่ไม่ใช่แค่เรื่องการศึกษา แต่เป็นการลบเลือนอัตลักษณ์วัฒนธรรมและรากเหง้าของชาติพันธุ์อื่น ที่อยู่คู่แผ่นดินนี้มานานหลายชั่วอายุคน
ภาษาถิ่นไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือสื่อสาร แต่เป็นรากเหง้าของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ชุมชน การเพิกเฉยต่อภาษาแม่จึงเป็นการละเมิดสิทธิและทำลายความมั่นคงทางตัวตนของเด็กไทยอย่างเงียบ ๆ งานวิจัยของ UNESCO (2021)และ UNICEF (2016) พบว่า เด็กที่ไม่ได้เรียนด้วยภาษาแม่ มักเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าใจบทเรียน สมาธิสั้น และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าเด็กที่ได้รับการเรียนการสอนด้วยภาษาแม่ของตนเอง
นอกจากนี้ การไม่สนับสนุนภาษาแม่ทำให้ผู้พูดภาษาท้องถิ่นถูกตีตราว่าเป็น “คนบ้านนอก” หรือ “ไม่ทันสมัย” ถูกเหยียดหรือถูกล้อเลียน ส่งผลให้เกิดความรู้สึกด้อยค่าในตัวตน (Loss of Identity & Inferiority Complex) และบางคนถึงขั้นปฏิเสธรากเหง้าวัฒนธรรมของตัวเอง ความสัมพันธ์ทางสังคมและอัตลักษณ์ชุมชน ผู้คนในชุมชนถูกมองค่าต่ำ ทำให้เกิดการแบ่งชั้นทางสังคมภาษาและวัฒนธรรมถูกลดทอนให้เป็นเรื่องส่วนตัวแทนที่จะเป็น ส่วนหนึ่งของสังคมสาธารณะ
เด็กที่ไม่ได้เรียนด้วยภาษาแม่มักตามบทเรียนไม่ทัน อาจทำให้มีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยหรือสายงานที่มีคุณภาพต่ำกว่า เมื่อโตขึ้น โอกาสทางอาชีพและรายได้ถูกจำกัด ส่งผลให้ ความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ภาษาไทยกลางกลายเป็น “เครื่องมือสร้างความได้เปรียบ” ขณะที่ผู้พูดภาษาท้องถิ่นถูกกีดกัน
เมื่อภาษาแม่ถูกละเลย วัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น เพลงพื้นบ้าน นิทาน หรือพิธีกรรม จะสูญหายตามไปด้วย การสูญเสียความหลากหลายทางวัฒนธรรมเป็น การสูญเสียต้นทุนทางสังคม (social capital) ที่ช่วยสร้างความเข้มแข็งและความร่วมมือในชุมชน ในระยะยาว สังคมจะกลายเป็น เอกภาพที่ผิวเผิน แต่ขาดรากฐานทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ที่มั่นคง
จากเรื่องราวของกีกี้ และพักตร์วิไล สะท้อนสถานการณ์เด็กไทยอีกนับไม่ถ้วน ให้ได้เห็นถึงบาดแผลที่เกิดจากนโยบายชาตินิยมในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งบังคับใช้ภาษาไทยกลางเพียงภาษาเดียว แม้ว่านโยบายดังกล่าวจะถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ผลกระทบยังคงหลงเหลืออยู่ในรูปแบบของการตีตรา ความอับอาย และการแบ่งชั้นทางสังคม
การเยียวยาบาดแผลเหล่านี้อาจต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนทัศนคติของสังคมให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล โดยเฉพาะสิทธิในการใช้ภาษาแม่และสิทธิทางวัฒนธรรม (cultural rights) ตามที่บัญญัติไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน การส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรม (cultural diversity) และการคุ้มครองสิทธิของชนกลุ่มน้อย (minority rights) ที่ไม่เพียงเป็นภาระผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นการลงทุนในทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีคุณค่า การสร้างสังคมที่ภาษาแม่และภาษาไทยกลางสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเท่าเทียม จนอาจเป็นหนทางสำคัญในการรักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และมรดกทางวัฒนธรรมไว้สำหรับอนาคตต่อไป
เรียบเรียงโดย ดวงทิพย์ ฆารฤทธิ์
อ้างอิง: