REFORM Partnership จัดเวทีชุมชน Drug Community Forum ทบทวน รื้อ สร้าง การขับเคลื่อนนโยบายด้านยาเสพติด ระหว่างวันที่ 2-3 กันยายน 2568 ณ โรงแรมเบสท์เวสเทิร์น พลัส แวนด้า แกรนด์ จังหวัดนนทบุรี เพื่อผลักดันการปฏิรูปกฎหมายและนโยบายเกี่ยวกับการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด (Harm Reduction) ให้เป็นธรรมและสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน
การระดมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ทำงานเกี่ยวกับผู้ใช้ยาเสพติดตลอด 2 วัน ทำให้เกิดกรอบแนวทางการขับเคลื่อนงานด้านยาเสพติดโดยมีผู้ใช้สารเป็นศูนย์กลาง เป้าหมาย คือ ผู้ใช้สารเป็นศูนย์กลาง มีความรอบรู้ด้านการใช้สาร มีส่วนร่วม และมีทางเลือกในการเข้าถึงบริการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดโดยสมัครใจ ซึ่งนำมาสู่การมีสุขภาพที่ดี
แยกเป้าหมายออกเป็น 4 ส่วน หนึ่งในนั้น คือ นโยบาย กฎหมาย และผู้บังคับใช้กฎหมาย มีข้อเสนอให้ ผู้ใช้สารเสพติดไม่มีโทษทางอาญาในกฎหมายยาเสพติด ผลักดันกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล และมีนโยบายสนับสนุนงบประมาณให้คนทำงานด้านยาเสพติด
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 จะครบกำหนดประกาศใช้ 5 ปีในปี 2569 ซึ่งต้องมีการทบทวนกฎหมาย ขณะนี้ REFORM Thailand อยู่ระหว่างจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และจัดทำร่างแก้ไขประมวลยาเสพติด ขั้นตอนที่ดำเนินการอยู่คือการสอบถามผู้เกี่ยวข้อง 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.ผู้ใช้สาร 2.ครอบครัวและคู่ของผู้ใช้สาร 3.ผู้ให้บริการสุขภาพ และ 4.ผู้บังคับใช้กฎหมาย เกี่ยวกับการเข้าถึงบริการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด (Harm Reduction) และความเป็นไปได้ในการยกเลิกโทษทางอาญาสำหรับผู้เสพ ซึ่งแบบสอบถามยังไม่ครบตามจำนวนที่กำหนด เนื่องจากการสอบถามมีข้อจำกัดเพราะผู้ถามไม่สามารถส่งแบบสอบถามไปยังกลุ่มผู้ใช้สาร และกลุ่มครอบครัวและคู่ของผู้ใช้สารได้โดยตรง เนื่องจากการใช้สารเป็นเรื่องส่วนตัวและอาจทำให้เรื่องถูกเปิดเผย
ส่วนการยกเลิกโทษทางอาญาแก่ผู้ใช้ยาเสพติด ผู้จัดเวทีชุมชน มีความคิดเห็นในเบื้องต้นว่า จะเสนอให้ยกเลิกโทษเลย โดยไม่ต้องมีโทษปรับเป็นพินัย และโทษทางปกครองอีก แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป
ช่วงกระทู้ถามทิศทางงานยาเสพติด มีวิทยากร 2 คน ได้แก่ ปรีชญาณ์ นักฟ้อน หัวหน้าภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และสิบโทเชาว์พิชาญ เตโช นักจิตวิทยา ศูนย์บริการสาธารณสุข 41 คลองเตย กรุงเทพมหานคร
สิบโทเชาว์พิชาญ กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงของยาเสพติดในสังคมไทยว่า เมื่อ 20-30 ปีก่อนผู้ใช้ยาเสพติดมักใช้เพื่อการทำงาน อาทิ ยาขยัน แต่ปัจจุบันใช้เพื่อการทำงานลดลงเหลือไม่ถึงร้อยละ 10 ที่เหลือคือผู้ใช้ยาเสพติดเพื่อความสุขและความผ่อนคลาย เนื่องจากการใช้ยาเสพติดสร้างความสุขได้สูง รูปแบบการใช้จึงเปลี่ยนไป ประกอบกับสังคมปัจจุบันมีความเครียดและความลำบากมากขึ้น คนก็ยังมีความเป็นปัจเจก หรือ การอยู่กับตัวเอง การทำความรู้จักคนอื่นทำได้ยาก การใช้ยาเสพติดจึงมีเพื่อให้เข้าสังคมด้วย เพื่อใช้ทลายกำแพง
การเข้าถึงยาเสพติดได้อย่างเสรีและมีความรู้เป็นสิ่งสมควรหรือไม่ นักจิตวิทยา ศูนย์บริการสาธารณสุข 41 กล่าวว่า ในเมื่อรัฐปล่อยให้คนดื่มเหล้าได้ ซึ่งถือเป็นการปล่อยให้คนใช้สารเสพติดอย่างถูกกฎหมาย จึงมีคำถามว่า ทำไมเหล้าอยู่ได้ ทำไมเหล้าควบคุมได้ ยาเสพติดอื่นก็ต้องควบคุมได้เหมือนกัน อาทิ การซื้อยารักษาโรคบางอย่างที่มีส่วนผสมของฝิ่นในร้านขายยา ถ้าซื้อมากไปร้านขายยาก็ปฏิเสธ เท่ากับว่ารัฐสามารถควบคุมยาเสพติดได้ แต่ภาพพจน์ของคนใช้ยาเสพติดถูกฝังหัวว่า มีความทุรนทุราย บ้าบอ จี้ตัวประกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคนใช้ยาเสพติดกันตามสบาย ใช้เกินเลย ไม่มีการดูแล ตัวอย่างการควบคุมการใช้ยาเสพติด เช่น กรณีนำยาอีมาขายในร้านขายยาจะสามารถควบคุมส่วนผสมให้ปลอดภัยได้ ต่างจากการไม่ควบคุมจะทำให้ผู้ผลิตยาอีใส่สารหลายชนิดที่เป็นอันตรายลงไปเพื่อให้ผู้ใช้ยาชอบ ซึ่งควบคุมจะมีประโยชน์ต่อผู้ใช้ยาและคนรอบข้าง
สิบโทเชาว์พิชาญกล่าวถึงการยกเลิกโทษอาญาแก่ผู้ใช้ยาเสพติดว่า นโยบายก็ไปทางนั้นอยู่แต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ อาทิ ถ้าพบคนใช้ยาเสพติดจะส่งไปบำบัด ถ้าไม่เข้ารับการบำบัดจะดำเนินคดี แต่น่าจะมีนโยบายว่า ถ้าไม่เข้ารับการบำบำบัดแล้วจะทำอย่างไร คนใช้ยากลัวอะไร คนใช้ยาไม่กลัวเสียสุขภาพ แต่รัฐมักให้ข้อมูลเรื่องสุขภาพซึ่งเขาไม่กลัว แต่สิ่งที่คนใช้ยากลัวคือกลัวถูกตำรวจจับ
“สมมติประกาศว่า คนใช้ยาเสพติดทุกคนถ้ามาอยู่ที่เขตคลองเตย มาใช้ยาที่เขตคลองเตย ไม่โดนตำรวจจับ เกิดอะไรขึ้น มากันทั้งหมด มาอยู่ที่คลองเตยกันหมด”นักจิตวิทยา ศูนย์บริการสาธารณสุข 41 กล่าว
สิบโทเชาว์พิชาญเปิดเผยอีกว่า ถ้าต้องการดึงกลุ่มเป้าหมายก็ต้องไปดูว่ากลุ่มเป้าหมายต้องการอะไร แล้วลงมือทำ แต่เป็นสิ่งที่รัฐไม่ยอมทำ ถ้าผู้เสพถูกจับครั้งแรกจะถูกส่งเข้าบำบัด ถ้าถูกจับครั้งที่สองจะส่งศาล ศาลจะส่งบำบัด แต่ถ้าถูกจับครั้งที่สามถึงจะถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ กฎหมายมีทิศทางมีที่ดีขึ้น แต่กฎหมายก็ยังบังคับอยู่
“ผมจะบอกเลยว่า คนใช้ยาคนหนึ่งถ้าเขาไม่อยากเลิก ทำไงก็ไม่เลิก จะบังคับขู่เข็นยังไงก็ไม่เลิก บางคนโดนจับเข้าคุกออกมาก็ยังกลับมาใช้ เพราะฉะนั้นควรมีนโยบายดูแลคนตรงนี้เหมือนคนไข้เบาหวานเพื่อให้คุมน้ำตาล ให้อาการคงที่ได้” สิบโทเชาว์พิชาญ กล่าว
นักจิตวิทยา ศูนย์บริการสาธารณสุข 41 เผยอีกว่า ถ้ามีนโยบายว่าผู้ใช้ยาเสพติดที่ออกจากเรือนจำถ้ามาพบแพทย์ทุกเดือนจะไม่ถูกจับ ทำไมเขาจะไม่มา คนใช้ยาเสพติดของตนที่คลองเตยไม่ว่าจะใช้ยาหรือไม่ มักต้องมาพบตนประจำเพื่อมาขอให้ตนลงลายมือชื่อบนบัตรประจำตัวสีฟ้า ถ้าไม่มีลายมือชื่อตำรวจจะจับ วิธีการนี้ทำให้คนใช้ยาเสพติดอยู่กับกลุ่มบริการสุขภาพนานที่สุด ต่างจากวิธีเดิมคือห้ามเสพซ้ำ ซึ่งเป็นทิศทางที่ดีขึ้น
“คนที่อยู่กับเราแล้วมาเจอเราตลอดไม่หลอน สุขภาพร่างกายไม่ทรุดโทรม มีงานทำ เขาไม่ได้ใช้เวลาไหนก็ได้ แต่เริ่มใช้อย่างมีสติ สองครั้งต่อสัปดาห์ ศุกร์กับเสาร์ เขาเริ่มมีสติมากขึ้น มันเหมือนกับมีคนเตือนสติ” นักจิตวิทยา ศูนย์บริการสาธารณสุข 41 กล่าว
นักจิตวิทยาจากคลองเตย กล่าวถึงการสอบถามเรื่องการใช้ยาเสพติดว่า เมื่อพูดถึงยาเสพติดก็จะไปสอบถามเด็กคลองเตยว่าใช้ยาเสพติดเพราะอะไร ทำไมเราไม่ไปถามเด็กในคลองเตยว่า ทำไมถึงไม่ใช้ยา หรือ สมมติกรณี คนใช้ยาเสพติดประเภทเคมเซ็กส์ (chemsex) หลอนหมดทุกคน แต่ทำไมคน 8-9 คนถึงไม่หลอน อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ไม่หลอน อะไรเป็นปัจจัยให้ทำงานได้ต่อเนื่อง การเปลี่ยนตัวผู้ต้องไปสอบถามถือเป็นแง่มุมใหม่ในการทำงาน
ปรีชญาณ์กล่าวถึงการเข้าถึงยาเสพติดได้อย่างเสรีว่า รัฐต้องเลิกเอาอำนาจไว้ที่ตัวเองในเรื่องการให้ใช้ยาเสพติดได้หรือไม่ได้ และถ้าได้ให้ได้แค่ไหน กัญชาเป็นตัวอย่างที่สำคัญมาก หลังจากมีนโยบายกัญชาเสรี กัญชาแย่น้อยลงหรือไม่ ก็คงไม่ใช่เพราะเป็นกัญชาต้นเดิม แค่ไม่ผิดกฎหมายเฉย ๆ ฤทธิเหมือนเดิมใช้แล้วเหมือนเดิมทุกอย่าง
หัวหน้าภาควิชารัฐศาสตร์ บอกว่า ปัญหาสำคัญมากกว่าตัวยาตัวไหนควรเข้าถึงได้อย่างเสรี ไม่ควรให้อำนาจรัฐอย่างเดียวกำหนด ว่าอะไรดีหรือไม่ดี ปัญหาอยู่ที่รัฐ รัฐทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดี ทั้งที่รัฐไม่รู้เรื่องเลย ที่จริงอำนาจในการจัดการยาเสพติด ควรอยู่ที่คนที่เกี่ยวข้อง ประเทศที่ขับเคลื่อนแก้ไขปัญหายาเสพติดได้จริง ๆ จะเปิดพื้นที่ให้การตัดสินใจเป็นของประชาชน และต้องให้ความรู้แก่ประชาชน
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กฎหมายเขียนว่าอะไร ปัญหาอยู่ที่ทำไมต้องเขียนกฎหมาย ถ้ายังปลอดล็อคเรื่องนี้ไม่ได้ เถียงกันไปอีกสิบปีร้อยปีก็ไม่จบว่า ยาตัวไหนควรถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย”ปรีชญาณ์
หัวหน้าภาควิชารัฐศาสตร์ กล่าวว่า ผู้ให้บริการสาธารสุขมีความเข้าใจ Harm Reduction จริงโดยเฉพาะผู้อยู่ในคลินิกบำบัดยาเสพติด ต่างจากเมื่อสิบปีที่แล้วที่ผู้ให้การบำบัดไม่เข้าใจ อาทิ คิดว่าคนใช้ยาเสพติดต้องรักษาหายเหมือนคนเป็นโรคหวัด แต่ปัจจุบันนี้ผู้ให้การบำบัดเข้าใจผู้ใช้ยาเสพติด แต่ไม่เข้าใจนโยบาย และผู้ที่ไม่เข้าใจคือรัฐเอง ทำไมรัฐต้องบังคับให้ผู้ให้การบำบัดรายงานบางเรื่องที่ไม่สามารถรายงานได้ตรงกับข้อเท็จจริง พวกเขาต้องปิดตาทำรายงานเพื่อรายงานให้รัฐพึงพอใจ และต้องแอบทำหลายเรื่องเพราะรัฐไม่เข้าใจ เหลือรัฐอยู่เจ้าเดียวที่มีอำนาจแต่ไม่มีความรู้ ส่วนนโยบายลงโทษทางอาญาลดทอนไปมาก ตั้งแต่ปี 2559 มีการหามาตรการทางเลือก มีทุกอย่างแค่ไปไม่ถึงเวลาปฏิบัติเท่านั้นเอง
ปรีชญาณ์เปิดเผยว่า เวลาทำวิจัยเกี่ยวกับยาเสพติดประเทศไทยทำวิจัยด้านเดียวคือหาปัจจัยของคนใช้ยาเสพติด พอรัฐรู้สาเหตุ เช่น ความจน พ่อแม่เลิกกัน ฯลฯ รัฐก็หาทางออกแบบการแก้ไขปัญหาแบบคิดเอง แต่ต่างประเทศเขาค้นหาปัจจัยที่ทำให้คนไม่ใช้ยาเสพติดซึ่งเป็นปัจจัยเชิงป้องกัน แล้วไปทดสอบว่าวิธีแก้ปัญหานั้นได้ผลหรือไม่ เช่น ระบบการใช้พี่เลี้ยงในโรงเรียน ก็มีการทดสอบว่าเป็นวิธีที่แก้ไขปัญหาได้หรือไม่ได้
“ประเทศไทยพบว่า เด็กติดยาเพราะขาดที่พึ่ง เราจึงสร้างที่พึ่งออกมา เช่น ครูแนะแนว ครูก. ครูข. เยอะไปหมด แล้วก็ไม่แน่ใจว่าเทสต์ (ทดสอบ) แล้วมันได้หรือเปล่า เพราะรัฐคิดเอง ทำวิจัยจบแค่รู้สาเหตุ แต่ฝรั่งรู้สาเหตุปุ๊บ มันเทสต์ทางแก้ต่อ” ปรีชญาณ์ กล่าวและว่า ปัจจัยไหนทดสอบซ้ำ ๆ แล้วได้ผลแสดงว่าเป็นปัจจัยเชิงบวกที่ใช้ได้จริง
ปรีชญาณ์กล่าวเสริมว่า ตนเสนอต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ว่า ให้ทดสอบเครื่องมือป้องกันคนใช้ยาเสพติดให้หมด เช่น ครูก. ครูข. ฯลฯ เครื่องมือตัวไหนไม่ได้ผลให้เลิก เครื่องมือตัวไหนใช้ได้ผล ก็ให้ทดสอบต่อว่า เครื่องมือแต่ละประเภทเหมาะกับเด็กกลุ่มไหน เช่น เด็กในเมือง เด็กในชนบท ฯลฯ ซึ่งเด็กแต่กลุ่มมีความแตกต่างกัน ไม่ใช่มีอำนาจสั่งแล้วจบ แต่ต้องทดสอบจนมั่นใจ ซึ่งได้แจ้งต่อ ป.ป.ส.ไปหมดแล้ว
หัวหน้าภาควิชารัฐศาสตร์เล่าว่า การเข้าใจสาเหตุไม่ช่วยให้รัฐออกแบบนโยบายได้ รัฐต้องทำอีกขั้นตอนคือทดสอบ เพราะวิธีหนึ่งอาจจะใช้ได้ในประเทศอื่น แต่ใช้ในประเทศไทยไม่ได้ แต่ปัญหาของประเทศไทยติดอยู่ข้อเดียวคือรัฐผิดพลาดไม่ได้
“Policy lab (ห้องปฏิบัติการนโยบาย) จะเกิดขึ้นได้ในทุกประเทศถ้ารัฐยอมรับว่า Policy ที่ล้มเหลวคือคำตอบที่เราจะไม่ทำซ้ำ แต่สำหรับประเทศไทยถ้านโยบายล้มเหลว ใครคิด ใครสั่ง ไอ้นั่นโดน มันติดอยู่ตรงนี้อันเดียวเลย ที่ทำให้เราไม่เกิดวิธีคิดแบบนี้” หัวหน้าภาควิชารัฐศาสตร์ กล่าวทิ้งท้าย