บทความ
เมื่อกฎ ก.ตร.ขัดหลักสิทธิมนุษยชน ห้ามคนมีเชื้อเอชไอวีเข้ารับราชการตำรวจ

การแก้กฎหมายเพื่อลดอุปสรรคบนกระดาษ แต่การสร้างความเข้าใจจะลบอุปสรรคในหัวใจของผู้คน 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เปิดรับสมัครบุคคลภายนอกเข้าเป็นข้าราชการตำรวจต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทั้งระดับนายร้อยและนายสิบ โดยระหว่างปลายเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคม ปี 2568 สตช.เปิดรับสมัครนักเรียนนายสิบจำนวน 7,550 อัตรา รวมถึงเปิดรับสมัครในตำแหน่งอื่น ๆ อีก 155 อัตรา การรับสมัครบุคคลภายนอกเข้าเป็นข้าราชการตำรวจ นอกจากมีขั้นตอนตามปกติ คือ สอบข้อเขียนและสอบภาคปฏิบัติแล้ว ผู้สมัครยังต้องผ่านการตรวจร่างกาย และต้องผ่านกฎของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2566 ที่กำหนดถึงการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตำรวจ ว่าต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม หลายประการ

ที่น่าสนใจคือ กฎ ข้อ 2 (14) ที่ระบุว่า ไม่เป็นโรค อาการ ภาวะอื่นใด หรือมีลักษณะต้องห้าม ที่ไม่ควรเป็นข้าราชการตำรวจตามบัญชีแนบท้าย บัญชีแนบท้ายกำหนดทั้งหมด 14 หัวข้อ

หัวข้อ 11.เบ็ดเตล็ด หัวข้อย่อย 11.8 โรคติดเชื้อ หรือ โรคเกิดจากปรสิต ข้อ 11.8.5 โรคเอดส์ และ/หรือติดเชื้อเอชไอวี (HIV) เท่ากับว่า ผู้ที่ถูกตรวจพบว่ามีเชื้อเอชไอวีจะไม่สามารถสมัครเข้ารับราชการตำรวจได้ ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2566 กับ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2547 พบว่า กฎ ก.ตร. ปี 2547 ในหัวข้อย่อย 11.8 โรคติดเชื้อ ระบุไว้ใน ข้อ 11.8.5 เพียงแค่ โรคเอดส์ เท่านั้น เท่ากับว่า อาการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) เป็นลักษณะต้องห้ามที่ถูกกำหนดเพิ่มเติมเข้ามาภายหลัง 

มีความกังวลว่า กฎ ก.ตร. ปี 2566 ที่กำหนดให้ โรคเอดส์ และ/หรือ ติดเชื้อ เอชไอวี (HIV) เป็นลักษณะต้องห้ามของการเป็นตำรวจ อาจเป็นการเลือกปฏิบัติและขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน เนื่องจากเป็นการตัดสิทธิบุคคลที่ต้องการเป็นข้าราชการตำรวจแม้จะมีความพร้อมด้านอื่น

1. ผู้มีเชื้อเอชไอวีฟ้องตำรวจแต่แพ้คดี

มีกรณีตัวอย่างของผู้ถูกตัดสิทธิบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจเหตุเกิดขึ้นเมื่อปี 2561 นาย ส. ทายาทของข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับสิทธิเข้ารับการคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการตำรวจสังกัดสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ แต่ถูกสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจปฏิเสธการแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจ เนื่องจากไม่ผ่านการตรวจร่างกาย โดยมีผลเลือดผิดปกติ

นาย ส. ยื่นอุทธรณ์ ผลปรากฎว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยกอุทธรณ์ เนื่องจากเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติต้องห้ามตามบัญชีโรคหรืออาการที่ไม่ควรเป็นข้าราชการตำรวจตามข้อ 2 (14) แนบท้ายกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2547 ข้อ 11.8.5 โรคเอดส์

นาย ส. ฟ้องร้องต่อศาลปกครองด้วยตนเอง โดยเป็นการฟ้องเพิกถอนคำสั่งของตำรวจ ศาลมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2563 ยกฟ้อง โดยสรุปคำพิพากษา ว่า ข้าราชการตำรวจมีลักษณะงานที่พิเศษ มีความจำเป็นต้องใช้บุคลากรที่มีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ หากให้ผู้ที่เป็นโรคเอดส์เข้าปฏิบัติงานได้จะเกิดปัญหาและอุปสรรค เมื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมกับตำแหน่งงานดังกล่าว การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งยุติการบรรจุและแต่งตั้งผู้ฟ้องคดี (นาย ส.) จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบด้วยกฎหมาย

กรณีผู้ฟ้องคดี (นาย ส.) อ้างว่า แม้จะเป็นผู้ติดเชื้อ HIV ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่ตำรวจ แพทย์โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง มีความเห็นว่า สุขภาพแข็งแรงไม่เป็นอุปสรรคในการทำงาน แต่ไม่ได้ระบุชัดว่า ไม่เป็นอุปสรรคในการทำงานตำรวจที่เป็นงานที่มีลักษณะพิเศษอย่างไร ขณะที่ความเห็นทางการแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งระบุถึงอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้มีเชื้อเอชไอวี มีน้ำหนักรับฟังได้มากกว่า ดังนั้น ข้ออ้างดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น

นาย ส .ร้องเรียนมายังมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ให้ช่วยดำเนินการ มูลนิธิฯ ร้องไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน และร้องไปยัง อัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน ขอให้ดำเนินการไกล่เกลี่ย

ผลการดำเนินการ กสม. มีรายงานผลการตรวจสอบ ที่ 413/2562 ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2562 ระบุว่า การที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ให้มีการตรวจเชื้อเอชไอวี เป็นการเลือกปฏิบัติต่อนาย ส. โดยเหตุที่เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี อันเป็นการอาศัยเหตุแห่งสถานภาพอย่างอื่น และไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 27 และกติการะหว่างประเทศ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อนาย ส.


กสม. เสนอ นายกรัฐมนตรีให้มีมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่ง ที่ สม 0006/19 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563

วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ สตช. เป็นหน่วยงานหลัก พิจารณาร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้สรุปผลการพิจารณา/ดำเนินการในภาพรวมและส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน สตช.จัดประชุมหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 มติที่ประชุม คงโรคเอดส์ไว้ใน กฎ ก.ตร.

โรงพยาบาลตำรวจ พิจารณา ว่า กฎ ก.ตร. ข้อ 2 (14) อยู่ในดุลพินิจของคณะกรรมการแพทย์โรงพยาบาลตำรวจที่วางหลักเกณฑ์การพิจารณา โดยคำนึงถึงอำนาจหน้าที่และการปฏิบัติงานของตำรวจ ในการรักษาความปลอดภัยพระมหากษัตริย์ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฯ คณะกรรมการแพทย์ฯ เห็นว่า ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี เป็นโรค หรือ อาการ ไม่ควรเป็นข้าราชการตำรวจ เนื่องจากจำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เพื่อให้ภูมิต้านทานของร่างกายอยู่ในระดับปกติ ด้วยหน้าที่การงานอาจไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง จึงไม่เป็นการใช้ดุลพินิจคณะกรรมการแพทย์เกินอำนาจหน้าที่

โรดเอดส์เป็นโรคเรื้อรัง จำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเกิดโรคเอดส์ และการติดเชื้อฉวยโอกาส ตำรวจที่ติดราชการอาจขาดยาต้านไวรัสจนเกิดการติดเชื้อฉวยโอกาส กฎไม่ได้เลือกปฏิบัติเพราะเลือกคนที่มีความพร้อม ทนทาน กับภารกิจเร่งด่วน คาดคั้น และยากลำบาก

คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 รับทราบรายงานของ สตช. และ กสม. มีมติ เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 ยุติการติดตามผลดำเนินการ

2. เอดส์และเอชไอวี ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายคนเข้าใจ

ภาพจำในอดีตทำให้สังคมมองว่าเอดส์เป็นโรคร้ายแรง น่ากลัว และผู้ติดเชื้อถูกเหมารวมว่าเป็นคนที่มีพฤติกรรมทางเพศไม่ปลอดภัย หรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติด อีกทั้งยังถูกมองว่าไม่มีทางรักษาและต้องเสียชีวิตแน่นอน แต่ความเข้าใจเหล่านี้เป็นเพียงมายาคติในอดีต ปัจจุบันการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่เข้าสู่กระบวนการรักษาจะได้รับยาต้านไวรัส ซึ่งครอบคลุมอยู่ในสิทธิการรักษาทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิบัตรทอง ประกันสังคม หรือสิทธิข้าราชการ

ยาต้านไวรัสทำให้ปริมาณเชื้อลดลงจนไม่สามารถตรวจพบ หรือที่เรียกว่าU = U (Undetectable = Untransmittable)หมายความว่า เมื่อไม่พบเชื้อในเลือด ก็ไม่สามารถส่งต่อเชื้อเอชไอวีไปยังผู้อื่นได้ นั้นหมายความว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถมีเพสสัมพันธ์มีครอบครัว มีลูก ทำงานได้ เรียนได้ ใช้ชีวิตได้เหมือนคนที่ไม่มีเชื้อเอชไอวี

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ประมาณการจำนวนผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวีในประเทศปัจจุบัน 576,397 คนโดยมากกว่าร้อยละ 96 หรือ 574,529 คน อยู่ในวัยแรงงาน หากหน่วยงานรัฐราชการ รวมถึงเอกชนมีข้อกำหนดงดรับผู้ปฏิบัติงานซึ่งมีเอชไอวี จะทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสจากการจ้างงานประชากรกว่าครึ่งล้าน และผลักให้กลุ่มคนเหล่านี้เป็น “กลุ่มเปราะบาง” ที่จำต้องเฝ้ารอรับการสงเคราะห์โดยรัฐเพียงเท่านั้น นั่นอาจไม่ใช่ทางออกที่พึงมีของสังคม และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเพียงผู้มีเชื้อเท่านั้น

ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าจากจำนวนผู้มีเชื้อเอชไอวีปัจจุบัน มีบางส่วนที่ประกอบอาชีพรับราชการตำรวจด้วยเช่นกัน

3. มูลนิธิฯ เตรียมเดินหน้าทางกฎหมาย ควบคู่กับการสร้างความเข้าใจใหม่ในสังคม

เพื่อยุติการเลือกปฏิบัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่ไม่รับผู้เป็นโรคเอดส์และผู้มีเชื้อเอชไอวีเข้ารับราชการ มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย (FAIR) ซึ่งเดิมคือ มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ กำลังผลักดันในสองช่องทางทางกฎหมาย 

ช่องทางแรก คือ การยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้พิจารณาส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หากเห็นว่ากฎของหน่วยงานรัฐที่กำหนดให้โรคเอดส์และเชื้อเอชไอวีเป็นลักษณะต้องห้ามในการบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจ มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย

อีกช่องทางหนึ่งคือการฟ้องศาลปกครอง ซึ่งต้องอาศัยผู้สมัครสอบตำรวจที่ถูกปฏิเสธเนื่องจากมีเชื้อเอชไอวีเข้ามาร่วมเป็นผู้ฟ้องคดี มูลนิธิฯรับรู้ดีว่า การเปิดเผยตัวตนในสังคมที่ยังมีอคติไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทุกก้าวที่ใครสักคนเลือกจะลุกขึ้นมา นั่นคือพลังสำคัญที่จะช่วยเปิดทางและสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้สังคมเห็นว่า การกีดกันเช่นนี้ไม่ชอบธรรม และหากมีใครเลือกที่จะก้าวออกมาในครั้งนี้ เขาจะไม่เดินเพียงลำพัง แต่ทางมูลนิธิฯและเครือข่ายพร้อมอยู่เคียงข้างในการผลักดันร่วมกัน

การฟ้องร้องในอดีต แม้ยังไม่สามารถเปลี่ยนกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคได้ แต่ไม่ได้สูญเปล่า ตรงกันข้าม มันคือก้าวแรกที่ทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถาม และเปิดพื้นที่ให้เกิดการพูดถึงความไม่เป็นธรรมมากขึ้น จุดหมายสำคัญจึงไม่ใช่เพียงคำตัดสินของศาล แต่คือการสร้างความเข้าใจใหม่ และการค่อย ๆ รื้อถอนอคติที่มีต่อโรคและคนที่มีเอชไอวี

ครั้งนี้ ทางมูลนิธิฯ พร้อมสนับสนุนทั้งด้านข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง เพื่อให้การดำเนินการไม่ใช่เพียงการต่อสู้ในศาล แต่คือการเริ่มต้นใหม่ที่เราทำร่วมกัน เพื่อสร้างบรรทัดฐานที่เป็นธรรม และเปิดพื้นที่ให้กับทุกคนในสังคม

อย่างไรก็ตาม แม้การดำเนินคดีในทางกฎหมายจะเป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ แต่สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป คือการสร้างความเข้าใจใหม่แก่สังคม เพื่อลดอคติและมายาคติเดิมๆ ที่ยังคงนำไปสู่การตีตราและการกีดกันผู้มีเชื้อเอชไอวีทั้งในชีวิตประจำวันและในการทำงาน การแก้กฎหมายอาจลบอุปสรรคบนกระดาษ แต่การสร้างความเข้าใจจะลบอุปสรรคในหัวใจของผู้คน

คงถึงเวลาแล้วที่หน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จะได้ทบทวนกฎระเบียบเหล่านี้ และลุกขึ้นมาเป็นตัวอย่างที่จะยืนยันกับสังคมว่าเอชไอวีเป็นเรื่องธรรมดา ผู้มีเชื้อเอชไอวีสามารถทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้ไม่ต่างจากคนอื่น


รู้จักเราเพิ่มเติม
ร่วมบอกเล่าประสบการณ์การถูกเลือกปฏิบัติ
  • ร่วมบอกเล่าประสบการณ์ / เรื่องราวที่คุณเคยเจอหรือพบเห็น เพื่อให้เรานำเสนอต่อสาธารณะ
  • หากเรื่องราวของท่านได้รับการนำเสนอ จะได้รับการติดต่อมอบหนังสือขอบคุณ และติดตามการช่วยเหลือ
บรรยายเรื่องราว เหตุการณ์ โดยย่อ
ผู้แจ้งเบาะแส
หมายเลขโทรศัพท์
แจ้งเบาะแส
หรือร้องเรียนผ่าน Crisis Response System (CRS) ที่ สวัสดีปกป้อง