จากกว่า 200 เรื่องร้องเรียนของมูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย (FAIR) ในฐานะหน่วยงานเลขาฯของเครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ ตลอด 2 ปี ที่ผ่านมา มีกรณีสำคัญที่พบเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง คือการถูกบังคับตรวจเอชไอวีก่อนเข้าทำงาน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นคล้ายฉายภาพเก่าวนไป รอเพียงผู้ถูกกระทำรายใหม่เดินเข้ามาในฉากซ้ำเดิม ไม่เพียงแต่หน่วยงานเอกชนที่มีมาตรการ “อยากรู้อยากเห็นสถานะสุขภาพ และผลเลือดของชาวบ้าน” แต่กับหน่วยงานรัฐอย่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง ก็ประกาศชัดตามบัญชีแนบท้ายของกฎ ก.ตร.ว่า “ไม่รับผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวีเข้ารับราชการตำรวจ” แม้จะมีความสามารถจนสอบผ่านเกณฑ์ทั้งข้อเขียน-ปฏิบัติเข้ามาได้
ข้ออ้างสำคัญของชายชาติตำรวจทหาร ที่มักหยิบยกขึ้นมา คือ เป็นการดำเนินนโยบายภายใต้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่มีการใช้บังคับในปัจจุบัน (ซึ่งผ่านจัดทำใหม่โดยรัฐบาลทหารหลังยึดอำนาจ – มีการจัดทำประชามติโดยมุ่งจับกุมผู้รณรงค์ไม่ให้โหวตรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้) วันนี้ เราจึงอยากเชิญชวนทุกท่านมาแหกรัฐธรรมนูญ ดูเหตุผลประกอบไปพร้อมกัน ว่าทำไมจึงจำเป็นต้องมีการรณรงค์ให้แก้ไข - ร่างรัฐธรรมนูญใหม่
เป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐธรรมนูญปัจจุบันที่มีการใช้งานมากว่าทศวรรษ มาจากคณะรัฐประหารที่ล้มล้างการปกครอง แล้วจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่โดยมุ่งเพิ่มมือไม้ในสภาด้วยการติดอาวุธทางอำนาจแก่ สว.250 คนที่มาจากการสรรหา(โดยรัฐบาล คสช.) ทั้งเห็นชอบแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งในศาลรัฐธรรมนูญ - องค์กรอิสระ และมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
โดยก่อนหน้ามีการประกาศใช้รับธรรมนูญ ได้พยายามจัดทำประชามติ แต่ออกประกาศ คสช. ห้ามรณรงค์โหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว มีการกำหนดโทษจำคุกสูงสุดของผู้แสดงออกด้วยการเห็นต่างเอาไว้มากถึง 10 ปี
การเพิ่มย่อหน้าท้าย ให้ทหารตำรวจ “สามารถเลือกปฏิบัติกับประชาชนได้” ในรูปแบบข้อความ … บุคคลผู้เป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ และพนักงานหรือลูกจ้างขององค์กรของรัฐย่อมมีสิทธิและเสรีภาพเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นแต่ที่จำกัดไว้ในกฎหมายเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการเมือง สมรรถภาพ วินัย หรือจริยธรรม ไม่ใช่เรื่องงามหน้าเรื่องเดียว แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ยังปรับแก้ สวัสดิการและบริการด้านสาธารณสุขของประชาชน ที่ต้องได้รับอย่าง “เสมอหน้า” ด้วย “ความเหมาะสมและได้มาตรฐาน” เหลือเพียง “ไม่เสียค่าใช้จ่ายเฉพาะผู้ยากไร้” เท่านั้น ซึ่งเป็นสวัสดิการด้านสุขภาพที่ต่ำกว่าสิทธิอันพึงมีของประชาชนทุกคนในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้า
หนำซ้ำด้านการศึกษา ที่รัฐธรรมนูญ 2540 ระบุ “บุคคลมีสิทธิเสมอกันในการรับ การศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปี” กลายเป็น “ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับ อย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย”
หลายต่อหลายเรื่องที่ปราศจากความชัดเจนเปิดช่องให้มีการตีความโดยฉวยโอกาส โดยเฉพาะกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำให้ผู้สูญเสียโอกาสกลุ่มใหญ่ คือ ประชาชน เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้มุ่งเน้นกำกับกำชับหน่วยงานของรัฐให้ ดำเนินแนวสวัสดิการสังคมแบบสังคมสงเคราะห์ แบ่งแยกคนออกเป็น ปกติทั่วไปและ “ผู้ยากไร้” เท่านั้น
DNA ของรัฐธรรมนูญฉบับรัฐบาลทหารปลูกฝัง จริยธรรม – ศีลธรรม ส่งผ่านมาถึงการออกกฎหมายประกอบฉบับต่าง ๆ ภายใต้ความพยายามของรัฐซึ่งมักกำหนด บทบัญญัติ “ห้ามขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน” จนเป็นที่สงสัยและต้องมีการถกเถียงถึง “ขอบเขตศีลธรรม” และ ใครกันกุมอำนาจชี้ขาดว่า ประชาชนคนใดมีหรือไร้ศีลธรรมอันดี?
แม้ในมาตรา 219 จะระบุให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ เป็นผู้กำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมขึ้นมาบังคับใช้ ด้วยเงื่อนไข “ต้องรับฟังความคิดเห็นของ สส. สว. และคณะรัฐมนตรี” มาตรฐานศีลธรรมนี้กลับถูกประกาศกลางสุญญากาศในตอนที่ ไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น จนกลายเป็น “ดาบ” ให้สามารถใช้เงื่อนไขนี้ตัดสิทธิ ชี้ขาดตัดฟันอนาคตของนักการเมืองได้โดยไม่ไว้หน้า
เช่นกันกับการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่กลายเป็นหลักให้วัวพัน เพราะฝ่ายการเมืองจะไม่สามารถดำเนินนโยบายใดก็ตามที่หาเสียงได้ หากไม่ถูกบรรจุอยู่ใน ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งหากนอกลู่นอกทาง ผู้ปฏิบัติงานเองอาจถูดำเนินคดี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายเข้าไปอีก
ไม่ต้องพยายามมากนักก็สามารถใช้ AI ในการค้นหาข้อมูลได้ว่า “อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ” = พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย หรือร่างกฎหมาย, ปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ, และการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน นอกจากนี้ “ยังมีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา”
ย้ำอีกครั้งว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่ ในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนด้วย โดยการพิจารณาคดีที่ประชาชนถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครอง
ขณะเดียวกันหากกวาดตาดูจะเห็นว่า “องค์กรอิสระ” แทบทั้งหมดล้วนมีอำนาจ “ตัดสิน” ชี้ขาดในการปราม ยับยั้ง หรือหาข้อยุติภายใต้ปัญหาที่เกิดขึ้นในขอบเขตอำนาจ ทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.)
มีเพียงองค์กรอิสระที่จำเป็นต้องยึดโยงกับประชาชนคือ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่มีหน้าที่ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แต่ปราศจากอำนาจในการ ระงับ ยับยั้ง หรือห้ามการกระทำละเมิดสิทธิและเสรีภาพ ที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนโดยตรง
เหล่านี้จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่จำเป็นสำหรับก้าวต่อไปของการพัฒนาประเทศ ซึ่งต้อง “รื้อถอน” จากรากเหง้าของปัญหาที่คาราคาซังมาช้านาน เพื่อปลดล็อค “การเลือกปฏิบัติ” ที่เกิดขึ้นโดยน้ำมือของหน่วยงานรัฐ และการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำเป็นต้องทำให้การเลือกปฏิบัติไม่สามารถกระทำได้ ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลข้อใดก็ตามที
ตลอดทั้งเดือนนี้ หากบุคคลผู้สมัครสอบตำรวจท่านใด ได้รับผลกระทบและถูกตัดสิทธิด้วยเหตุผลของ ความเป็นผู้มีเชื้อเอชไอวี สามารถแสดงตนมาร่วมกับเรา ในการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ พิจารณา ไต่สวน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ทั้งแก่ตัวท่านเอง และเป็นบรรทัดฐานแห่งการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมที่ “เคารพ” ความแตกต่างหลากหลายและไม่เลือกปฏิบัติ มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย จะจัดให้มีทนายความและนักกฎหมายผู้เชี่ยวชาญ ในการดำเนินการตามขั้นตอนภายใต้กฎหมาย ท่านที่ประสงค์ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทลายอคติและการเลือกปฏิบัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้หมดสิ้นไป เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างของความอยุติธรรม สามารถติดต่อมาได้ที่ “บ้านเสมอ” โทร 083-543-3608 หรือ Line @baansamer (https://lin.ee/SmTSpST)