บทความ
ผู้ถูกเลือกปฏิบัติจาก 7 กลุ่มประสานเสียงเรียกร้องความเป็นคนเท่ากัน

สภาขจัดการเลือกปฏิบัติ มีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล ขณะที่ผู้ถูกเลือกปฏิบัติจาก 7 กลุ่มประสานเสียงเรียกร้องความเป็นคนเท่ากัน

ในการประชุมวิชาการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน : ประชากรกลุ่มเฉพาะ” ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ที่อิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (MovED) ได้จัดกิจกรรม ยกสภามาหานะ … (เธอ) เมืองทอง กฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติ และทางออกของชุมชนเพื่อไม่ให้คนถูกเลือกปฏิบัติ รูปแบบกิจกรรมมีจัดที่นั่งผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นรูปเกือกม้าคล้ายกับที่นั่งในสภา โดยสมมติว่า ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นสมาชิกสภาขจัดการเลือกปฏิบัติ ซึ่งสามารถลงมติต่อร่างกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติได้

ช่วงแรกเป็นการประเมินการรับรู้ ความเข้าใจ เรื่องการตีตรา และเลือกปฏิบัติ มีคำถาม 3 ข้อ ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมตอบว่าเห็นด้วยหรือไม่ เพื่อทดสอบความเข้าใจ ได้แก่

  • การกำหนดให้ผู้สมัครงานต้องตรวจเลือดหาเชื้อ HIV ก่อนเข้าทำงานเป็นการเลือกปฏิบัติ - ส่วนใหญ่เห็นด้วย
  • แรงงานข้ามชาติที่เข้าเมืองผิดโดยกฎหมายควรได้รับค่าแรงและสวัสดิการน้อยกว่าคนไทย - ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย
  • การทำกระเบื้องปูพื้นนำทางคนตาบอดเพื่อเอื้อให้คนพิการทางสายตาได้ใช้ทางเท้าเป็นการเลือกปฏิบัติ - ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย

จารุณี ศิริพันธุ์ มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย (FAIR) เล่าถึงอคติและการประกอบสร้าง โดยตั้งคำถามว่า เมื่อเราเห็นคนอื่น เราเห็นด้วยตา หรือ เห็นเขาด้วยความคิดของเรา จากนั้นได้เปิดภาพคนที่มีลายสัก แล้วตั้งคำถามว่า เห็นภาพนี้แล้วคิดหรือนึกถึงอะไร พร้อมอธิบายว่า การบอกว่าคนๆ หนึ่งเป็นใครเกิดจากอคติ อคติคือความคิดในหัวเราแล้วด่วนสรุปและจัดกลุ่มแบบเหมารวมโดยอัตโนมัติ แล้วนำไปสู่การให้คุณค่ากับพฤติกรรมของคนนั้นกลุ่มนั้น จนนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ โดยไม่รู้ตัว

จารุณี กล่าวอีกว่า อคตินำไปสู่การตัดสินใจไม่ให้บริการแก่เขา ไม่ให้เขาร่วมกลุ่มร่วมสังคม หรือ ออกนโยบายกีดกัน อาทิ การให้ตรวจหาเชื้อเอชไอวี ก่อนเข้าทำงาน โดยไม่ได้สนใจข้อเท็จจริงว่า เชื้อเอชไอวี ไม่ได้ติดกันอย่างง่ายดาย กรณีอคติทางเพศที่คิดว่าคนมีแค่ 2 เพศ ทำให้กลุ่ม LGBTQ ถูกเลือกปฏิบัติตลอดไป ฯลฯ การเลือกปฏิบัติเกิดจากอคติ และอคติทำให้เราถูกเลือกปฏิบัติ แนวคิดดังกล่าวไม่ยอมรับความเป็นมนุษย์ที่มีความแตกต่างหลากหลายทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติ และ การเลือกปฏิบัตินำไปสู่ความรุนแรงได้ด้วย ณ วันนี้การลดอคติต้องใช้เวลาและต้องทำงานต่อ แต่กฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติเกิดได้เลยถ้าเราช่วยกัน

“กฎหมายจะเป็นสัญลักษณ์ที่จะบอกว่าเราร่วมกันขจัดการเลือกปฏิบัติให้ได้ อคติอาจจะมีต่อไปได้ แต่พฤติกรรมการเลือกปฏิบัติต้องไม่มีอีก” จารุณีกล่าวทิ้งท้าย

ช่วงที่สองเป็นกิจกรรมให้ผู้ถูกเลือกปฏิบัติเสนอญัตติหรือนโยบายต่อที่ประชุม

เสียงจาก LGBTQIA+

ซีซ่า ฤทธิวงศ์ สมาคมฟ้าศรีรุ้งแห่งประเทศไทย เผยว่า ประเทศไทยได้ผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมแล้วก็จริง แต่กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศยังถูกเลือกปฏิบัติในหลายรูปแบบ คนข้ามเพศยังไม่สามารถเปลี่ยนคำนำหน้านามให้ระบุตรงกับอัตลักษณ์ของเพศได้ ความคลาดเคลื่อนในบัตรประชาชนทำให้เราถูกกีดกันจากการเข้าทำงานในหลายอาชีพ ข้อมูลจากธนาคารโลก เมื่อปี 2561 ระบุว่า 77 เปอร์เซ็นต์ของคนข้ามเพศเคยถูกปฏิเสธการรับเข้าทำงาน เช่น สอบผ่านข้อเขียนแล้ว แต่เวลาไปสัมภาษณ์พบว่ามีคำนำหน้านามไม่ตรงกับเพศก็ถูกปฏิเสธ

“หวังว่ากฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติจะหนึ่งก้าวสำคัญ ที่ทำให้ประเทศไทยเป็นบ้านที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน เพราะความเท่าเทียมไม่ใช่สิทธิพิเศษ แต่เป็นสิทธิพื้นฐานสำหรับทุกคน” ซีซ่ากล่าวทิ้งท้าย

เสียงจากกลุ่มผู้หญิงที่อยู่ร่วมกับเอชไอวี

นิภากรณ์ นันตา มูลนิธิผู้หญิงที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี เปิดเผยว่า คนที่มีเชื้อเอชไอวีไม่สามารถทำงานได้เหมือนคนอื่น ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการเท่าเทียมกับคนอื่นได้ ผู้มีเชื้อเอชไอวีไม่สามารถเข้าถึงสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์เท่ากับคนอื่นได้ เช่น เมื่อเป็นผู้หญิงที่มีเชื้อเอชไอวี จะถูกบอกว่า ต้องป้องกัน ห้ามมีคู่ ต้องไม่มีลูก ฯลฯ รวมถึงไม่สามารถไปทำงาน และเรียนในบางสาขา ทำให้ผู้มีเชื้อเอชไอวีมีคุณภาพชีวิตไม่เท่ากับคนอื่น

“เราอยากให้มีกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติ มันจะทำให้เราเข้าถึงความช่วยเหลือ การปกป้องคุ้มครอง เพราะว่าเวลาเราถูกเลือกปฏิบัติไม่มีใครช่วยเหลือคุ้มครองเรา ให้เราได้รับสิทธิเท่าเทียมกับคนอื่น”

เสียงจากกลุ่มชาติพันธุ์

เกรียงไกร ชีช่วง สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์ที่ผ่านมาตั้งสร้างรัฐชาติไทย ชนเผ่าพื้นเมืองเจออคติที่ถูกอธิบายผ่านวาทะกรรม “ดื้อ ชั่ว โง่ จน อ่อนแอ” เคยได้ยินหรือไม่ว่า ชาวเขาค้ายา ชาวเขาตัดไม้ทำลายป่า ฯลฯ การตีตราและเหมารวม ในลักษณะนี้ ผ่านมา 50-60 ปีไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ถูกส่งต่อแล้วขยายผล เช่น ปัจจุบันกลายเป็นจำเลย เรื่องค่าฝุ่น PM แล้วไปออกนโยบายภายใต้วาทกรรมว่า “สังคมต้องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม”

เกรียงไกรระบุว่า อคตินี้กำลังนำไปสู่ปฏิบัติการ ที่ทำให้อำนาจบางอย่างของเจ้าหน้าที่มีความชอบธรรม เช่น กรณี “บิลลี่ พอละจี” ถูกอุ้มหาย แต่มีความเห็นในสังคมออนไลน์ บอกว่า บิลลี่ และชาวกะเหรี่ยง สมควรถูกกระทำอย่างนั้นเพราะต้องการรักษาผืนป่าแห่งนี้ไว้  อีกวาทกรรมคือชาวเขาค้ายา ทำให้เกิดกรณีสังหาร “ชัยภูมิ ป่าแส” ซึ่งเป็นการตีตราเหมารวม เมื่อชนเผ่าพื้นเมืองลุกขึ้นมาเรียกร้องกฎหมายก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นอภิสิทธิ์ชนอีก ชนเผ่าพื้นเมืองจึงต้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ

เสียงจาก SEX WORKER

ศิริศักดิ์ ไชยเทศ นักกิจกรรมอิสระเพื่อสิทธิมนุษยชน เริ่มต้นจากการตั้งคำถามว่า กะหรี่ หรือ พนักงานบริการ ทำงานด้วยความสมัครใจ ทำงานตามหลักการสิทธิมนุษยชน และทำงานตามรัฐธรรมนูญ แต่ทำไมพนักงานบริการใช้เรือนร่างของตัวเองทำงานจึงผิดกฎหมายอาญา ทั้งที่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของประเทศไทย ในปี 2565 จำนวน 10 เปอร์เซ็นต์มาจากท่องเที่ยว จำนวน 2 เปอร์เซ็นต์มาจากภาคธุรกิจบันเทิง คิดเป็นเงิน 6.4 พันล้านบาท

“พนักงานบริการทางเพศคือแรงงาน งานบริการทางเพศคืออาชีพ ขายตัวไม่ใช่อาชญากร ขายตัวโดยสมัครใจไม่ใช่การค้ามนุษย์ ยกเลิกคดีอาญากับพนักงานบริการ เลิกใช้คำว่ากะหรี่เป็นคำด่าสักที กะหรี่มีศีกดิ์ศรีเทียบเท่ากับอาชีพทุกอาชีพนี้ในสังคม”

ศิริศักดิ์ยังเชิญชวนให้ประชาชนช่วยลงชื่อในร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองพนักงานบริการทางเพศที่เขียนโดยพนักงานบริการทางเพศ เพื่อให้ครบ 10,000 รายชื่อเพื่อเสนอต่อสภาฯ

เสียงจากแรงงานนอกระบบ

กชพร กลักทองคำ สมาพันธ์แรงงานนอกระบบแห่งประเทศไทย บอกว่า ปัญหาของแรงงานนอกระบบคือต้องการความคุ้มครองตามกฎหมาย ต้องการความเท่าเทียมของประกันสังคม ต้องการความมั่นคงทางอาชีพ แต่แรงงานนอกระบบไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน แรงงานนอกระบบไม่ได้รับการคุ้มครองเวลาทำงาน และค่าจ้างขั้นต่ำ

“ถ้าเราอยากได้ค่าจ้างจำนวนมากก็ต้องเพิ่มชั่วโมงทำงานให้มากขึ้นซึ่งผิดกับหลักคุ้มครองการทำงาน” กชพรกล่าว

กชพรกล่าวอีกว่า ในฐานะแรงงานนอกระบบอยากให้มีกฎหมายที่ทำให้แรงงานนอกระบบมีความเท่าเทียมกันกับแรงงานในระบบ โดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ แรงงานนอกระบบจึงต้องการให้มี พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติกับทุกคน เพราะกฎมายมีกลไกที่แก้ไขการกดทับความเป็นคนของแรงงานนอกระบบ และมีกลไกรับเรื่องร้องเรียน 

เสียงจากคนพิการ

ศิวนาถ มณีแดง ตัวแทนคนตาบอด เผยว่า ตนถูกเลือกปฏิบัติอยู่เสมอ ซึ่งมักจะคำว่า “เป็นห่วง สงสาร และยังไม่พร้อม” เช่น ถูกปฏิเสธการเข้าใช้ฟิตเนสโดยอ้างถึงความปลอดภัย เราถูกตัดโอกาสโดยยังไม่ได้ลอง เคยไปสมัครงานที่บริษัทแห่ง เขาติดต่อมาว่าสนใจมาก แต่พอตนบอกว่าตนเป็นคนตาบอดก็ถูกปฏิเสธ

“ที่เจ็บลึกที่สุด ตอนผมจบชั้น มอ 6 ผมยื่นคะแนนสอบไปที่มหาลัยแห่งหนึ่งที่เน้นเรื่องสิทธิเสรีภาพ ขอเข้าไปสอบ เขาบอกว่า คณะนี้ไม่พร้อม อาจารย์ไม่สะดวกที่จะสอน นี่เป็นอีก 1 ครั้งที่ผมถูกดับฝันตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม” ศิวนาถกล่าว

ศิวนาถบอกอีกว่า คนพิการอยากให้ทุกคนมองว่า เราก็คือคน เราเท่ากัน อยากใช้ศักยภาพของตัวเอง และนี้คือเหตุผลที่เรารวรเร่งให้เกิด พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติ เพื่อให้คนพิการสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีเสารีภาพ เท่าเทียม และปลอดภัย สถานที่ๆ เคยปฏิเสธจะต้องมีเหตุผลที่สามารถตรวจสอบได้ สถาบันการศึกษาจะไม่สามารถตัดสินคนพิการได้จากความบกพร่องทางกายภาพ คนพิการจะต้องเข้าถึงโอกาสโดยไม่ต้องขอร้องใคร และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษยจะไม่ต้องขึ้นอยู่กับสายตาของใคร

เสียงจากเยาวชนผู้ไร้สถานะทางทะเบียน

วันดี มณีมงคลกาญจน์ ผู้ประสานงานโครงการแรงงานข้ามชาติ จาก APASS Thailand เปิดเผยว่า เด็กที่อาศัยอยู่ที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน หรือ เด็กนักเรียนรหัส G เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนในปัจจุบันมีตัวเลขเด็กเหล่านี้ที่ 130,000 - 150,000 คน ถ้าทำให้เด็กที่อยู่ในประเทศไทยมีสถานะทุกคนมีลายนิ้วมือทุกคนเรื่องการสวมบัตรจะไม่เกิดขึ้น โดยแถวบ้านตน ที่อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี การสวมบัตรคิดราคา 80,000 - 100,000 บาท ที่ผ่านมาตนได้แก้ไขปัญหาให้เด็ก G  ไปแล้ว 3 พันกว่าคน ในอ.สังขละบุรี และอ.ทองผาภูมิ เพื่อทำให้พวกเขามีสถานะเพื่อให้พวกเขาเข้าถึงการศึกษาและบริการสุขภาพ 

ช่วงต่อมาเป็นเวทีเสวนาเกี่ยวข้องกับการผ่านร่างกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติ สรุปได้ว่า กฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลมีหลายภาคส่วนเป็นผู้เสนอ ทั้งภาคประชาชน พรรคการเมือง และรัฐบาล กฎหมายนี้เป็นกฎหมายเร่งด่วนของรัฐบาลชุดนี้ (รัฐบาลแพทองธาร) จากเดิมกำหนดว่าจะเข้าสภาผู้แทนราษฎรในเดือนมีนาคม แต่เลื่อนออกไป โดยคาดว่าจะเข้าสภาฯ ได้เมื่อเปิดสมัยประชุมสภาในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้

ช่วงสุดท้ายคือช่วงเสียงของทุกคนมีความหมาย มีการให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสมาชิกสภาขจัดการเลือกปฏิบัติลงมติเห็นชอบ/ไม่เห็นชอบ ต่อร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล … ผลปรากฎว่า สมาชิกทุกคนลงมติเห็นชอบ

รู้จักเราเพิ่มเติม
ร่วมบอกเล่าประสบการณ์การถูกเลือกปฏิบัติ
  • ร่วมบอกเล่าประสบการณ์ / เรื่องราวที่คุณเคยเจอหรือพบเห็น เพื่อให้เรานำเสนอต่อสาธารณะ
  • หากเรื่องราวของท่านได้รับการนำเสนอ จะได้รับการติดต่อมอบหนังสือขอบคุณ และติดตามการช่วยเหลือ
บรรยายเรื่องราว เหตุการณ์ โดยย่อ
ผู้แจ้งเบาะแส
หมายเลขโทรศัพท์
แจ้งเบาะแส
หรือร้องเรียนผ่าน Crisis Response System (CRS) ที่ สวัสดีปกป้อง