ภาพเบื้องหน้าเป็นเวลาหลังเที่ยง แหงนมองแล้วแสงแยงแสบตา จนไม่รู้ตำแหน่งว่าพระอาทิตย์อยู่องศาไหน หญิงสาวและชายหนุ่มนับสิบคนพากันหลบร่มอยู่ใต้เงาหลังคาหล่าเทิง (ใบตองตึง) พวกเขามาเฝ้ารอสักลายกับ ธีทอ ขรัวเฒ่าผู้เป็นช่างสักมือหนึ่งของย่านนี้ ธีทอสามารถแทงลายได้ทั้งแบบมีอาคมและลงน้ำมัน แกจะเวียนออกมาสักให้ชาวบ้านแค่ปีละไม่กี่วันกลุ่มคนบนบ้านพากันนั่งเงียบขรึม ส่วนใครที่อยากสักแต่ทำใจไม่ไหวเพราะกลัวเจ็บก็ออรอกันตรงใต้ถุน พอถึงคิวตนจะยื่นมือข้างที่ต้องลงเข็มผ่านร่องฝาหน้าบ้านขึ้นไปให้ธีทอสักจากบนบ้าน
ย่าจุโพ พญาปราชญ์ วัย 88 ปี ชาวปกาเกอะญอโชว์รอยสักรูปดอกไม้หลังฝ่ามือ เธอเล่าว่า ตอนตัวเองเป็นสาวราว 16 ปีมีประสบการณ์ยืนสักโดยยื่นมือขึ้นใต้ถุนบ้านกับ ธีทอ จำได้ดีมีค่ายกขันครู 1 บาท วินาทีแรกที่เหล็กแหลมแทงเนื้อมันเจ็บแสบจนน้ำตาไหล สักไปไม่ถึงสามนาทีความเจ็บยิ่งทบทวี เมื่อเสร็จข้างหนึ่งแล้ว ยังเหลืออีกข้างก็คิดในใจว่าคงต้องพอ แต่เมื่อหันไปดูเพื่อนที่สักเสร็จก่อนหน้ายิ้มแหย ก็กลัวโดนล้อหากทำตัวละล้าละลัง... จนเมื่อเสร็จสมตามตั้งใจหวัง ความเจ็บแสบที่มีมันเลือนไป เหลือไว้แน่นเต็มอกคือความภูมิใจกับหลังมือนี้
ตามคติความเชื่อปกาเกอะญอ “พ่อซู” หรือการมีรอยสักของผู้หญิง ไม่ใช่เพียงความสวยงาม แต่แสดงถึงความใจใหญ่ ที่อยากต่อสู้เพื่อฝ่าฟันคืนวันอันทุกข์ทรมานจากการไม่มีสิทธิมีเสียงของผู้หญิง เพราะเมื่อสักแล้วชาติหน้าต่อไปพวกเธอจะได้เกิดเป็นชาย ขณะที่ชายใดไม่สักขาลายจะถูกนินทาว่า เสียชาติเกิดแล้วชาติหน้าต้องกลับกลายไปเป็นหญิงแทน
พ่อซู หรือ ว่านดำ เป็นพืชชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับต้นขิง ใบดำต้นดำเหง้าดำ หากจะง่ายต่อการจดจำคือ ดำสนิททุกส่วน ปัจจุบันนี้ในพื้นที่บ้านแม่สะป๊อก อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ที่คุณย่าจุโพอาศัยไม่มีให้เห็นแล้ว สอดคล้องกับจำนวนนับของหญิงสูงวัยที่สักพ่อซูนี้ ก็เหลือมีให้เห็นได้แค่นับนิ้วมือ
การเป็นผู้หญิงปกาเกอะญอในยุคสมัยที่ผ่านมาค่อนข้างยากลำบาก หญิงไม่สะอาด ให้ชายกินก่อน หญิงไม่สามารถสร้างบ้านอยู่เองได้ ห้ามเดินทางออกนอกหมู่บ้านตามลำพัง ห้ามล่าสัตว์ตกปลา หลายครั้งถูกกีดกันไม่ให้ร่วมพิธีกรรมทางความเชื่อ (ซึ่งพิธีกรรมเหล่านั้นบรรดาผู้ชายทั้งสิ้นมีบทบาทนำ) ถึงขนาดที่มีคำกล่าวว่า “หากไก่ตัวเมียขัน แสงพระอาทิตย์ในยามรุ่งจะไม่ส่องแสง” และ “ผู้หญิง มีเจ้าเป็นผู้ชาย ผู้ชายมีเจ้าเป็น กษัตริย์”
ย่าจุโพ อ้างว่า แม้ความเป็นจริง ชีวิตผู้หญิงของนางที่ผ่านมาเหมือนจะโหดร้าย แต่ในตำนานปกาเกอะญอก่อนนี้นั้น ผู้หญิงเคยเป็นใหญ่ เพราะผู้ชายต้องอยู่บ้านเฝ้าเรือนและคลอดลูก โดยครรภ์จะเป่งขึ้นที่บริเวณหน้าแข้ง มีนมอยู่ตรงฝ่ามือ พอกาลผ่านไป ผู้หญิงอิจฉาผู้ชายจึงใช้มือจิ้มไปที่หน้าแข้งชาย ผู้ชายบอกว่าเจ็บ ผู้หญิงก็บอกกับผู้ชายว่า ถ้าไม่ชอบที่ตั้งท้องได้ ให้มานอนด้วยกัน นับแต่นั้นผู้หญิงก็เป็นคนตั้งท้องแทน ครั้นเมื่อผู้หญิงตั้งท้องเองได้แล้วแต่ไม่มีนมให้ลูกกิน จึงขโมยนมของผู้ชายตอนอาบน้ำ พวกเธอเอามาซ่อนไว้บนหน้าอกของตัวเอง ผู้หญิงบางคนขโมยมาเยอะน้อยไม่เท่ากัน จึงทำให้มีหน้าอกเล็กบ้างใหญ่บ้างต่างกันไป
ตอนนั้นเองยังมิใช่จุดเปลี่ยน ที่ผู้หญิงต้องถูกลดบทบาทลง แต่มีเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในพิธีศพ ผู้หญิงทั้งหมดซึ่งทำหน้าที่แบกโลง เกิดอาการเวียนหัวคลื่นไส้อ้วกแตกแล้วล้มลงสิ้นลม ไม่ว่าจะเพิ่มผู้หญิงอีกกี่คน ก็ให้ผลแบบเดียวกัน... นับแต่นั้นมา ผู้ชายเห็นว่าผู้หญิงอ่อนแอ จึงให้พากันกลับไปอยู่บ้าน ดูแลงานเรือนแทนแล้วให้ผู้ชายเป็นใหญ่
ปัจจุบันนั้น หน้าที่ของผู้หญิงทำได้เพียงตั้งท้อง เลี้ยงลูกดูแลบ้าน ดูแลสามี ต่อให้ผู้เป็นผัวของตัวชั่วเลวอย่างไร ก็ไม่สามารถตีจากกันได้ และหากการทนทรมานเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการสัก สามารถแลกกับชีวิตที่ไม่ต้องเกิดมาทุกข์บนความเป็นหญิงอีกชาติได้ ย่าจุโพก็ยินดีแลก นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่เจ้าตัวตัดสินใจยื่นมือทะลุฝาบ้านไปสักน้ำว่าน เพราะถ้าหากชาตินี้ไม่สามารถมีสิทธิมีเสียงของตัวเอง ก็ขอให้ได้เกิดมาเป็นผู้ชายเสียทีในชาติหน้า