ปัญหาผู้ต้องขังล้นคุกมีมานานมากแล้ว ขณะเดียวกันผู้ต้องขังจำนวนไม่น้อยทั่วโลกกลับยังต้องหวนคืนสู่เรือนจำอีกครั้ง เมื่อพวกเขาไม่อาจปรับตัวหรือมีที่ทางของตัวเองหลังจากพ้นโทษ เช่นเดียวกันที่ไม่นานมานี้ มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย (FAIR) ได้รับคำร้องขอความช่วยเหลือ จากกรณีบุคคลถูกบังคับให้ออกจากงาน เนื่องจากถูกตรวจสอบพบประวัติอาชญากรรมย้อนหลัง ทั้งที่ผ่านมานานจนจะข้ามพ้นทศวรรษแล้ว จะดีกว่าไหมหากพวกเขามีโอกาสวางแผนใช้ชีวิตหลังพ้นโทษ สามารถหาเลี้ยงชีพ และปรับตัวเข้ากับสังคม และโดยอย่างยิ่งคือการลดทอนหรือลบทิ้ง - ไม่ส่งต่ออย่างเปิดเผย รายละเอียดประวัติอาชญากรรมของผู้เคยกระทำผิด
แต่ก่อนที่เราจะคิดว่า ไม่มีทางเลือกให้ผู้พ้นโทษได้กลับคืนสู่สังคม เรามาลองดูกันว่าประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกเขาแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไรบ้าง ?
ในอดีต นอร์เวย์เป็นอีกประเทศที่ผู้ต้องขังจำนวนมากพ้นโทษออกมาแล้วกระทำผิดซ้ำจนเวียนกลับเข้าไปในคุก กระทั่งหลังทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา นโยบายของกรมราชทัณฑ์นอร์เวย์หันมามุ่งเน้น ‘การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ต้องขัง’
เรือนจำนอร์เวย์ถูกปรับเปลี่ยนให้มีเอกลักษณ์ เป็นกลุ่มอาคารเรียบง่าย หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ต้องขังรู้สึกว่ากำลังถูกคุมขังและตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา ช่วยให้พวกเขามุ่งหน้าปรับตัวเพื่อจะใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่
นอร์เวย์ไม่มีโทษจำคุกตลอดชีวิต และมีการวางแผนให้ผู้ต้องขังสามารถกลับไปเป็นประชาชนที่ตามปกติของสังคม โดยพวกเขาจะถูกกำหนดให้มีกิจวัตรประจำวันชัดเจน มีโรงฝึกงานให้ได้รับการฝึกฝนอบรมวิชาชีพต่าง ๆ บรรยากาศคล้ายการดำเนินชีวิตในโลกภายนอก เตรียมความพร้อมให้สามารถประกอบอาชีพสุจริตได้หลังพ้นโทษ ไม่ต้องกลับมาวนเวียนในวงจรเดิม ๆ
แนวทางเหล่านี้ได้ผลลัพธ์ที่ดีมาก และช่วยลดจำนวนผู้กระทำผิดซ้ำหลังพ้นโทษไปในระยะเวลา 2 ปี ลดลงเหลือเพียง 20% เท่านั้น
ญี่ปุ่นจัดการศึกษาให้แก่ผู้ต้องขังจนถึงระดับปริญญาตรี ประกอบกับใช้หลักทางศาสนาฟื้นฟูจิตใจ และมีการจัดตั้งอุตสาหกรรมขึ้นในเรือนจำ มีการจ่ายค่าจ้างผู้ต้องขัง พวกเขาสามารถเบิกเงินไปใช้ขณะอยู่ในเรือนจำ รวมทั้งจ่ายให้เมื่อพวกเขาพ้นโทษแล้ว
ยังมีอุตสาหกรรมสำหรับผู้ต้องขังภายนอกเรือนจำ (Prison Camps Outside) หรือโรงงานอุตสาหกรรมที่เปิดภายนอกเรือนจำให้ผู้ต้องขังทำงานและพักอาศัยอยู่ในนั้น
สำหรับผู้ต้องขังที่พ้นโทษออกมาในญี่ปุ่นจะมี ‘บ้านกึ่งวิถี’ หรือสถานที่ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ที่พ้นจากการต้องโทษมาแล้ว
บ้านกึ่งวิถีจำนวนร้อยกว่าแห่งในญี่ปุ่นช่วยเหลือผู้พ้นโทษหรือผู้ต้องคุมประพฤติ บำบัด ฟื้นฟู และปรับพฤติกรรม เป้าหมายคือให้พวกเขาสามารถกลับสู่สังคม ใ้ช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบสุข ซึ่งจะดำเนินการภายใต้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยการกำกับดูแลของหน่วยงานฟื้นฟูผู้กระทำผิดของกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น บ้านกึ่งวิถีจะตั้งอยู่ใกล้ชุมชน เพื่อให้ผู้อาศัยหางานทำและเดินทางไปทำงานสะดวก รวมทั้งมีการจัดกิจกรรมร่วมกับชุมชน สร้างความคุ้นเคยและช่วยให้พวกเขาไม่กระทำผิดซ้ำกับคนในชุมชนอีก
สิงคโปร์มีการวางแผนก่อนปล่อยตัวสำหรับผู้พ้นโทษสอย่างเป็นระบบ โดยมีโปรแกรมฟื้นฟูผู้ต้องขังในคุก ซึ่งจะพิจารณาเป็นรายบุคคลว่าแต่ละบุคคลนั้นควรได้รับการพัฒนาศักยภาพด้านไหน อย่างไร จนกระทั่งได้รับการปล่อยตัว ผู้ต้องขังจะได้รับมอบหมายให้ทำงานด้านต่าง ๆ ตามความสามารถและจะได้รับค่าแรงจากการทำงาน ที่ส่วนหนึ่งสามารถนำมาใช้จ่ายระหว่างถูกคุมขัง และอีกส่วนจะได้รับหลังปล่อยตัว
สิงคโปร์เองก็มีบ้านกึ่งวิถีหลายแห่ง ให้ผู้พ้นโทษรับคำปรึกษาและการพัฒนาทักษะอาชีพ เช่น ศูนย์ฝึกอบรมทำอาหาร เปิดให้ผู้พ้นโทษสมัครเข้าเรียนทำอาหารพร้อมมีที่พักให้ และ Selarang Halfway House บริหารจัดการโดยสังกัดกระทรวงมหาดไทย สำหรับผู้พ้นโทษที่มีความเสี่ยงจะกระทำผิดซ้ำ
เมื่อออกจากบ้านกึ่งวิถีแล้ว ผู้พ้นโทษจะเข้าสู่ระยะการติดตามดูแลที่บ้าน ตามด้วยระยะการคืนสู่ชุมชน เป็นการทำงานอย่างใกล้ชิดของกรมราชทัณฑ์เพื่อติดตามความก้าวหน้าของผู้พ้นโทษว่าปรับตัวกับคนรอบข้างได้ดีแค่ไหน
ในไทยมีสถานที่ดูแลผู้พ้นโทษภายใต้ความดูแลของรัฐ จำนวนประมาณ 140 แห่งทั่วประเทศ เป็นบ้านกึ่งวิถี 69 แห่ง และสถานที่ให้การสงเคราะห์อีก 71 แห่ง
สถิติในปี พ.ศ. 2566 มีผู้ใช้บริการบ้านกึ่งวิถีจำนวนประมาณ 1,093 ราย และมีผู้เข้ารับบริการโครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้เข้ารับบริการในบ้านกึ่งวิถีหรือสถานที่เพื่อให้การสงเคราะห์ (เข้ารับการฝึกอาชีพ) จำนวนประมาณ 730 ราย สถานที่ให้การดูแลผู้พ้นโทษต่าง ๆ จะมีบริการช่วยเหลือต่างออกกันไป เช่น จัดหางาน จัดหาที่พักอาศัย สนับสนุนด้านการศึกษา รวมทั้งอุปการะลูกของผู้ต้องโทษและผู้พ้นโทษอีกด้วย
น่าแปลกใจว่า แม้หลายประเทศจะมีโครงสร้างอย่างเป็นระบบ และมีโครงการมากมายเพื่อสนับสนุนให้ผู้พ้นโทษกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้ แต่ผู้พ้นโทษในไทยจำนวนมาก ยังคงไม่ได้รับโอกาสหลังพ้นโทษตามที่ควร ดังเช่นกรณีข้างต้นของบทความ ที่ข้ามหัวความสามารถและศักยภาพของอดีตผู้ต้องขังไปใส่ใจเพียงประวัติอาชญากรรม ซึ่งเจ้าตัวได้ชดใช้ในการกระทำผิดของตนแล้ว และหากอ้างอิงจากงานศึกษาของคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะพบว่าคนไทยมากกว่า 13 ล้านคน มีชื่ออยู่ในทะเบียนอาชญากร ทั้งที่อยู่ระหว่างต้องโทษและพ้นโทษออกมาแล้ว ทำให้พวกเขาเหล่านั้นต้องพบเจอกับความยากลำบาก ทั้งในการใช้ชีวิตโดยทั่วไป และการสมัครงาน การถูกให้ออกจากงาน จนเป็นหนึ่งในสาเหตุให้ขยาดกลัวการเข้าสู่ระบบแรงงานอย่างเปิดเผยจนต้องวนกลับมากระทำความผิดซ้ำอีกครั้ง
ต่อให้ในปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมาได้เปิดให้มีการลบประวัติอาชญากร ซึ่งต้องมายื่นคำร้องต่อกองทะเบียนประวัติอาชญากรและดำเนินการผ่านโครงการ “ลบประวัติ ล้างความผิด คืนชีวิตให้ประชาชน*" ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ก็ระบุไว้เพียง 8 กรณี ซึ่งทั้งหมดนี้เจ้าตัวต้องจัดเตรียมเอกสาร และมายื่นคำร้องด้วยตนเองเป็นการยุ่งยากสร้างภาระให้ประชาชน และก็เป็นเพียงการดำเนินงานระดับ "โครงการ" หาใช่นโยบายที่ไม่มีการเปิดกว้าง ดังนั้นตราบใดที่ปัญหานี้ยังถูกมองข้าม ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ประเทศไทยอาจต้องเผชิญความเสี่ยงกับปัญหาผู้ต้องขังล้นคุกต่อไป
___________________
*ปัจจุบันเว็บไซต์ที่เปิดให้ตรวจสอบ ขั้นต้น ดำเนินการสำหรับโครงการ "ไม่สามารถเข้าถึงได้แล้ว" ... แม้โครงการดังกล่าวจะเพิ่งผ่านพ้นมาเพียงปีเศษ สะท้อนให้เห็นความจริงจังของการดำเนินนโยบาย-โครงการเกี่ยวข้องกับผู้พ้นโทษของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดี