: เมื่อประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย ผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศต้องเผชิญกับอะไร?
เนื่องในวันผู้สูงอายุสากล (International Day of Older Persons) 1 ตุลาคม ของทุกปี หากจะมีบางครอบครัวระลึกถึงผู้สูงวัยภายในบ้านอาจหนีไม่พ้น ปู่-ย่า / ตา-ยาย แต่ในสังคมที่สมรสเท่าเทียมกำลังแปลงกลายจากกฎหมายมาใช้บังคับต้นปีหน้า จึงมีคำถามสำคัญว่า “แล้วผู้สูงอายุเพศหลากหลายใช้ชีวิตกันยังไง?”
เริ่มจากสถานภาพ หากครองโสดอาศัยกับวัยทองเพียงลำพัง ผู้สูงอายุเพศหลากหลายจะมีโอกาสน้อยมากที่ จะได้รับการสนับสนุนด้านรายได้จากครอบครัว ขณะที่ผู้สูงอายุคู่รักเพศหลากหลาย มีแนวโน้มจะร่วมสนับสนุนกันและกันเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ทั้งด้านเศรษฐกิจ และที่อยู่อาศัยได้มากกว่า
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่า ไม่ว่าจะอยู่ลำพังหรือเป็นคู่ ผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศ ก็มีความเสี่ยงถูก ‘ปล่อยเคว้ง’ โดยไม่ได้รับการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจจากลูกหลานมากกว่า ผู้สูงอายุตรงเพศ เรื่องนี้ยืนยันได้จากโครงการศึกษาสถานการณ์สุขภาวะทางเพศ สุขภาพจิต และความสัมพันธ์ของกลุ่มประชากรสูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย โดย รศ.ดร.ฐิติกาญจน์ อัศตรกุล อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่กล่าวในงาน วันผู้สูงอายุสากล 2024 ซึ่งจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองกันที่ อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า
“จากผลสำรวจของเราพบผลกระทบของการถูกเลือกปฏิบัติ โดยผู้สูงอายุมากกว่า 40% ของกลุ่มที่ทำการสำรวจ ระบุว่า การถูกเลือกปฏิบัติจะมีหรือสร้างปัญหาให้กับพวกเขา ขณะที่อีก 5% ชี้ชัดว่า ผลกระทบของการถูกเลือกปฏิบัติจะกระทบกับพวกเขาอย่างมาก ...ซึ่งส่วนใหญ่จะระบุสถานการณ์ถูกเลือกปฏิบัติว่า มาจากการทำงาน ทั้งการปฏิเสธรับเข้าทำงาน บังคับให้ออกจากงานก่อนเวลา หรือกระทั่งตัดโอกาสความก้าวหน้าหรือเลื่อนตำแหน่งในสายงาน ซึ่งเรื่องนี้กระทบโดยตรงกับตัวผู้สูงอายุเพศหลากหลาย เพราะหากดุสถานการณ์ปัจจุบันแหล่งรายได้ของผู้สูงอายุจะมาจาก 3 ทาง คือ การทำงาน จากการดูแลของลูกหลาน และเบี้ยยังชีพหรือสวัสดิการต่าง ๆ หากขาดปัจจัยสนับสนุนทางเศรษฐกิจแล้ว ก็จะกระทบต่อสุขภาวะโดยรวมด้วย แล้วอย่างยิ่งหากเป็นผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศทั้ง ทรานส์ เลสเบียน เกย์ ไบเซ็กชวล จะได้รับการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจหรือเงินดูแลจากครอบครัวน้อยเข้าไปอีก”
จากงานศึกษาฯ พบผลกระทบที่ไม่สามารถระบุเป็นตัวเลขแต่เกิดขึ้นแล้วได้น่าสนใจ ซึ่งเมื่อสถานการณ์ปัจจัยภายนอก (ครอบครัว) มีแนวโน้ม “ไม่สนับสนุน” ผู้สูงอายุเพศหลากหลายแล้ว จะทำให้ต้อง “จำนน” ฝืนทนที่จะกดดันตัวเอง หรือเลือกจะไม่เปิดเผยตัวตน รสนิยมทางเพศให้คนรอบข้างหรือครอบครัวรู้ นั่นเพื่อให้ตนเองได้รับการยอมรับจากสังคม และสังคมที่สำคัญสำหรับผู้สูงอายุไม่ใช่ใครอื่นไกล คือ ครอบครัว
จากสถานภาพ และสถานะทางเศรษฐกิจ ล้วนเป็นมูลเหตุเกื้อหนุน ที่จะกระทบต่อระบบสุขภาพของผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยโครงการฯ นี้ได้มีการสำรวจสถานการณ์การเลือกปฏิบัติในการรับบริการสุขภาพของผู้สูงอายุเพศหลากหลายด้วย แม้จากสถิติการถูกเลือกปฏิบัติจะเป็นศูนย์ แต่พบว่า พวกเขาส่วนใหญ่ร้อยละ 27.3 รู้สึกว่าตนไม่สามารถขอคำปรึกษาจากแพทย์ได้โดยตรง และไม่สะดวกใจ รู้สึกไม่ปลอดภัยต่อท่าทีของบุคลากรเมื่อต้องมารับบริการ ขณะที่ความกังวลใจจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อต้องไปรับบริการสุขภาพทางเพศ และสุขภาพจิต
สถานการณ์เหล่านี้กำลังสะท้อนภาพ “สังคมสูงวัย” ของประเทศไทยได้อย่างเด่นชัด เมื่อการเป็นผู้สูงอายุยังไร้หลักประกันจากรัฐ มีเพียงสวัสดิการที่จำกัด พ่วงด้วยสิทธิการรักษาทั่วไป และไม่ได้ให้ความสำคัญกับประชากรที่มีความหลากหลายทางเพศ จึงค่อนข้างน่ากังวลว่า ท่ามกลางสังคมที่ ตา-ยาย ไม่ใช่แค่หญิงชายเพียงอย่างเดียว เราจะร่วมกันสร้างสังคมที่เคารพความแตกต่าง ไม่เป็นแบบอย่างของการเลือกปฏิบัติต่อผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศได้อย่างไร ... แต่หากเริ่มต้นจากการยอมรับตัวตน เข้าใจความต่างและหลากหลายของบุคคล อย่างน้อยก็จะหมายถึงการร่วมสร้างสภาพแวดล้อมทางสังคมที่พร้อมโอบรับ อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้ตา-ยาย คนไหนต้องร่วงหล่นล้มตายและหายไปจากโลกพร้อมความเจ็บปวด