จากการศึกษาล่าสุด โดยองค์การยูนิเซฟและสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ชี้ให้เห็นว่า เด็กจากครัวเรือนยากจนกว่า ร้อยละ 34 ไม่ได้รับเงินอุดหนุนรายเดือนที่พวกเขามีสิทธิ์ได้รับตามโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดของรัฐบาล
ยูนิเซฟได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการขยายโครงการนี้ให้ครอบคลุมเด็กทุกคนที่อายุต่ำกว่า 6 ปี ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาครัวเรือนตกหล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศไทยกำลังมีอัตราการเกิดต่ำและจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
นางเซเวอรีน เลโอนาร์ดี รองผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า
“การลงทุนในช่วงปีแรกของชีวิต คือการลงทุนที่ฉลาดที่สุดในการพัฒนาทุนมนุษย์ของประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยมีงบประมาณเพียงพอที่จะทำได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการคลัง ตามการคาดการณ์ของยูนิเซฟและทีดีอาร์ไอ
ทั้งนี้ ในช่วงหกปีแรกของชีวิตคือโอกาสสำคัญในการสร้างพื้นนฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อให้เด็กมีสุขภาพดี เรียนรู้เต็มที่ มีอาชีพที่ดี และมีส่วนร่วมในสังคม ในทางกลับกัน การไม่ลงทุนในช่วงนี้ อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของประเทศไทยโดยรวมในอนาคต”
ขณะที่ ดร. สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึงของทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า
“หลักฐานจากทั่วโลกแสดงให้เห็นว่า ปัญหาการตกหล่นเกิดขึ้นเสมอกับโครงการที่เน้นให้สิทธิ์เฉพาะประชากรบางกลุ่ม ซึ่งมักเกิดจากความผิดพลาดในขั้นตอนการคัดกรองและการลงทะเบียนเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติครอบครัวว่า เข้าเกณฑ์ได้รับสิทธิ์หรือไม่ ข้อมูลใหม่ชี้ให้เห็นว่า โครงการนี้ยังขาดประสิทธิภาพเนื่องจากยังมีอัตราการตกหล่นที่สูง”
โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดริเริ่มขึ้นในปี 2558 และได้ขยายครอบคลุมจำนวนเด็กมากขึ้นเรื่อย ๆ และเพิ่มจำนวนเงินที่ได้รับต่อเดือน อย่างไรก็ตาม การศึกษาชี้ว่า จำนวนเงินอุดหนุนปัจจุบันที่ 600 บาท ต่อเดือน ยังไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของเด็ก
ดร. สมชัยกล่าวเสริมว่า “รัฐบาลไทยสามารถขจัดปัญหาการตกหล่นได้ด้วยการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมอีก 7 พันล้านบาท เพื่อให้เข้าถึงเด็กอายุน้อยกว่า 6 ปี อีก 1 ล้านคนที่ยังไม่ได้รับสิทธิ์ในโครงการ ส่วนใหญ่เป็นเด็กจากครัวเรือนยากจน ซึ่งจะทำให้งบประมาณทั้งหมดของโครงการนี้อยู่ที่ประมาณ 23,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นเพียงร้อยละ 0.1 ของจีดีพี นี่คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะเด็กคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของประเทศ”
และจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดยสวนดุสิตโพลเมื่อต้นปีนี้พบว่า ร้อยละ 81 ของประชาชนในประเทศไทยสนับสนุนการขยายโครงการนี้ให้เป็นแบบถ้วนหน้า เนื่องจากพวกเขามองว่า เป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือครอบครัวที่มีเด็ก ช่วยลดความยากจน และช่วยเติมเต็มสิทธิของเด็กทุกคนในการมีวัยเด็กที่มีคุณภาพ
หลักฐานชี้ว่า โครงการนี้มีผลดีต่อโภชนาการของเด็กและการเข้าถึงการดูแลหลังคลอด โดยสามารถส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาตลอดชีวิตของเด็กซึ่งเป็นการช่วยพัฒนาทุนมนุษย์ของไทยและช่วยให้ประเทศเติบโตและก้าวหน้า การขยายโครงการให้ครอบคลุมเด็กทุกคน ถือเป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคนในสังคม สิ่งนี้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริม 'การเริ่มต้นชีวิตและการเติบโตอย่างมีคุณภาพ' สำาฃหรับเด็กทุกคน เพื่อแก้ปัญหารายได้ไม่เพียงพอที่ส่งผลกระทบต่อครอบครัวและอนาคตของแรงงาน
ทางด้าน เครือข่ายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า ซึ่งเป็นการรวมกันขององค์กรภาคประชาสังคม ผู้ปฏิบัติงานในองค์กรด้านเด็ก และผู้เกี่ยวข้องกว่า 450 องค์กร ย้ำมาตลอดถึงการจัดสวัสดิการเด็กเล็กให้ "ถ้วนหน้า" มากกว่านโยบายที่เลือกปฏิบัติด้วยการให้เฉพาะคน - ครอบครัวที่เข้าเกณฑ์