เมื่อก่อนเราไม่ค่อยได้ยินคำว่า Woke (โว้ค) มากนัก กระทั่งคน Gen Z และ Alpha ค่อยๆ เติบโตขึ้นมาพร้อมปรากฏการณ์มากมายผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งพวกเขาแทบจะถือครองเอาไว้อย่างผู้เชี่ยวชาญแห่งยุค นั่นทำให้กระแส Woke ในไทยหลั่งไหลเข้ามาและปรากฎกายชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ
เราพบว่าคนหลายกลุ่มเลือกต่อสู้กับแรงกดทับทางสังคมหรือกฎหมายที่ไม่ยุติธรรมด้วยการส่งเสียงอันก้าวร้าว ตะโกน เดินขบวน ถือป้ายที่ขีดเขียนถ้อยคำไม่สุภาพ ภายใต้น้ำคำหยาบคายเต็มไปด้วยประเด็นหลากหลาย ความไม่เท่าเทียมทางเพศ ความไม่เท่าเทียมต่อกลุ่มชาติพันธุ์ แรงงานชั้นรากหญ้า กระทบมายันสิทธิของผู้ป่วยเอดส์
แน่นอนว่า เมื่อมี Woke ย่อมมี Anti Woke กลุ่มคนผู้มองว่า Woke น่ะรุนแรงมากไป PC เยอะไปจนวุ่นวาย หลายคนจึงนิยามว่า Woke หมายถึงกลุ่มหัวก้าวหน้า(ฉบับรุนแรง) และ Anti Woke คือกลุ่มอนุรักษนิยม
ทั้ง Woke และ Anti Woke นับได้ว่าเป็นการต่อสู้ทางความคิดที่มียาวนาน และคนทั้งสองกลุ่มก็มีทิศทางว่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ตามประเด็นที่ขยายตัวมากขึ้น หลากหลายมากขึ้น ครอบคลุมคนหลายกลุ่มมากขึ้น
คำถามก็คือ เราจะทำความเข้าใจเรื่อง Woke และ Anti Woke อย่างไร ? ให้ยังคงอยู่ร่วมกันได้ในพื้นที่ที่ความคิดอ่านต่างกันมากตั้งขนาดนี้
Woke ที่หมายถึง ‘การตื่นตัวทางการเมือง’ หรือ ‘การตื่นขึ้นของประชาชนในประเด็นอยุติธรรมทางสังคม’ ไม่ใช่เรื่องใหม่ มันถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1900 โดยชาวแอฟริกันอเมริกัน หรือชาวอเมริกันผิวสี ในภาษาญี่ปุ่น คำ ๆ นี้ใช้อธิบาย ‘ความก้าวหน้าทางการเมืองของชาติตะวันตก’ ‘お目覚め文化 = วัฒนธรรมที่ตื่นตัว’ หรือจะใช้อักษรรูป ‘ウォーク = ตื่น’ ก็ได้เช่นกัน
วันเวลาผ่านไป คำว่า Woke ถูกขยายความหมายให้ครอบคลุมมิติทางสังคมมากขึ้น เช่น ความตื่นตัวเรื่องกีดกันทางเพศ กีดกันสิทธิสตรี และเป็นที่ฮือฮาอย่างมากในประเด็นกีดกันสิทธิของคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน
โดยสรุปคือ คำจำกัดความของ 'Woke' สามารถปรับเปลี่ยนไปตามบริบท และขึ้นอยู่กับว่า คุณกำลังเอ่ยคำนี้กับ ‘ใคร’
ในปี 2014 ถ้อยคำนี้ได้รับนิยมมากขึ้นอีก จากนักเคลื่อนไหว Black Lives Matter (BLM) ที่เกิดขึ้นเพื่อต่อต้านความโหดร้ายต่อกลุ่มคนผิวสีในอเมริกา อีกทั้งคนผิวขาวจำนวนมากก็หันมาสนับสนุน BLM ด้วย หลังการประท้วงในปี 2020 กรณี จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสีผู้ถูกใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐ ในที่สุด BLM ก็กลายเป็นแคมเปญระยะยาวของคนรุ่น Millennials และ Gen Z มันข้ามน้ำข้ามทะเลไปเยือนทวีปอื่น ลุกลามไปยังประเด็นหลากหลายที่สอดแทรกอยู่ในแฮชแท็กทวิตเตอร์ บทเพลง ภาพยนตร์ งานเสวนา หนังสือ ส่งอิทธิพลไปทั่วโลก เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
นับจากช่วงปี 2014 - 2020 จึงถือเป็นช่วงเวลาแห่งการ Woke หรือความตื่นตัวทางสังคมในประเด็นจำนวนมาก อาทิ ประชาธิปไตยที่ไม่มีอยู่จริง เศรษฐกิจแบบทุนนิยมและกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้คนบางกลุ่ม การปฏิรูป - ปฏิวัติทางการเมือง การเหยียดเพศและหวาดกลัวรสนิยมทางเพศของผู้อื่น การเอารัดเอาเปรียบคนบางกลุ่มและผลักไสให้กลายเป็นคนชายขอบ จนกระทั่งเกิดอีกสารพัดข้อเรียกร้องกลางถนนคลุกฝุ่น แพร่ลามมาจนถึงประเทศไทย
เมื่อ 3-4 ปีก่อน เราจึงมีขบวนประท้วงที่มีหลากประเด็นอันซับซ้อนปะปนกันอยู่ในนั้น และเห็นความเปลี่ยนแปลงทางสังคมชัดเจนผ่านพรรคการเมืองที่นำชัยชนะในแต่ละประเทศอีกด้วย
และแล้ว Anti Woke ก็ปรากฎร่างในบ้านเราอย่างแจ่มชัดเสียที
เมื่อมีซ้ายก็ต้องมีขวา Anti Woke จึงไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน คนกลุ่มนี้ที่ต่อต้าน Woke มีมาแต่แรกเริ่ม และชัดเจนเป็นกลุ่มก้อน อยู่ภายใต้บริบททางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่าฝั่ง Woke เสียอีก หลังจาก BLM ไม่นาน คำว่า Woke ก็กลายเป็นคำเยาะเย้ยเสียดสีประชดประชัน เช่น ความตื่นตัวที่ไม่จริงใจ ความตื่นตัวที่เป็นเพียงลัทธิ การทำตามอุดมการณ์ที่ขัดแย้งต่อศีลธรรมดั้งเดิม หรือ เป็นแค่ความแต่ใจของคนบางกลุ่ม
ขณะที่ Woke ใช้แนวคิดของตนขับเคลื่อนสังคม ...Anti Woke ก็รู้สึกว่าตนขับเคลื่อนสังคมไม่ต่างกัน เพียงแค่มีแนวทางคนละขั้วแบบตรงกันข้าม
ช่วงในปี 2020 นักการเมืองฝั่งขวาจำนวนมากในหลายประเทศ เลือกหยิบข้อเสียของ Woke มาใช้เป็นเครื่องมือโต้กลับกลุ่มคนหัวก้าวหน้า เช่น พวกล้มล้าง พวกทำลายอัตลักษณ์ความเป็นเชื้อชาติ เป็นต้น แถมพวก Woke ในสายตา Anti Woke ดูยังเปราะบาง สะกิดนิดเดียวก็โมโหโกรธา อ่อนไหวไปหมดซะทุกเรื่อง บางเรื่องที่ Woke ยังเป็นเพียงเสียงโวยวายในระดับปัจเจกบุคคล ไม่ได้ถูกคิดเพื่อคนทั้งหมดทั้งมวลอย่างรอบคอบ จึงไม่อาจนำไปสู่การขับเคลื่อนทางการเมืองอย่างแท้จริงอีกด้วย
กล่าวคือ หากเราไปนั่งคุยกับคนฝั่ง Woke ส่วนมากก็อาจบอกว่า Woke สิดี ประเทศก้าวหน้าได้ก็เพราะคนลุกขึ้นมาต่อต้านความไม่เป็นธรรมนะ หากเราไปนั่งคุยกับคนฝั่ง Anti Woke ก็อาจได้รับความคิดเห็นว่า Woke ขนาดนี้จะอยู่กันอย่างไร พูดนิดพูดหน่อยก็ Trigger โวยวายกันแล้ว โลกไม่สงบสุขก็เพราะพวก Woke นี่แหละ
ย้อนกลับไปช่วงแรกที่สังคมโลกต้องต่อกรกับเชื้อ HIV เราต่างโจมตีกลุ่มคน LGBTQ+ ว่าเป็นสาเหตุของการแพร่เชื้อ ถัดจากนั้นไม่กี่สิบปี วิทยาศาสตร์การแพทย์ก็ค้นพบว่า อ๋อ ที่ผ่านมาเราทุกคนแค่เข้าใจผิด แต่หลายคนก็ยังไม่ค่อยเชื่อ และโจมตีกลุ่มคน LGBTQ+ เหมือนเดิม ขณะที่คนอยู่ฝั่ง LGBTQ+ หลายคนถูกนับว่า Woke สนับสนุนให้เลิกเหยียดเพศและควรรักษาโรคเอดส์อย่างไร้อคติ กลุ่มอุดมการณ์ฝ่ายขวา หรือ Anti Woke ก็ลุกขึ้นต่อต้านพวกเขา
ง่าย ๆ คือการต่อต้านเรื่องความลื่นไหลทางเพศ นำมาสู่การไม่สนับสนุนการรักษาและป้องกัน HIV
รัฐบาลหลายแห่งเชื่อว่าความหลากหลายทางเพศ คือ แนวคิดที่แตกแยก เสมือนการแบ่งแยกเชื้อชาติในประเทศที่ชูเรื่องความเป็นชาติอย่างแข็งขัน เช่น พรรคการเมืองอนุรักษนิยมของอเมริกามักไม่ค่อยเต็มใจช่วยเหลือประชาชนเรื่องและดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีเท่าไหร่
ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันเคยกล่าวสุนทรพจน์หัวข้อ 'สิ่งที่พวกรักร่วมเพศทำ' ไปพร้อมๆ ผลักดันนโยบายต่อต้านความลื่นไหลทางเพศ มีการกักกัน ขึ้นทะเบียนผู้ที่ใช้ชีวิตร่วมกับเชื้อ HIV ไปจนถึงการเนรเทศ พรรครีพับลิกันเชื่อว่าการได้รับและติดเชื้อเอดส์ เป็น 'ผลกรรมอันเลวร้ายอันเนื่องมาจากเพศของพวกเขา' และเรียกพวกเขาว่าเป็น 'ภัยคุกคามทางศีลธรรม' อีกด้วย
ในปี 2015 มีการเปิดเผย ‘เสียงหัวเราะ’ ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของ โรนัลด์ เรแกน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อพูดถึงสถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีและผลกระทบต่อชาวอเมริกันที่เป็นเกย์ นั่นแสดงว่า ผู้มีอำนาจไม่เพียงแต่รู้สึกว่าโรคเป็นเรื่องตลก แต่พวกเขายังสามารถหัวเราะ (อย่างลับๆ) กับการเสียชีวิตของคนที่เป็น LGBTQ+ ได้อีกต่างหาก
จนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่ในอเมริกา แต่ประเทศอื่น ๆ ที่ยังคงมีความเป็นอนุรักษนิยมสูง แม้แต่ Anti Woke เรื่องเพศบางกลุ่มก็คิดเห็นเรื่องนี้ไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าพวกเขา(และพวกเรา)ก็จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
.
.
หลักฐานว่า มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ถนัดเรื่องทะเลาะเบาะแว้งแค่ไหน ก็คือการมี Woke และ Anti Woke ต่อเนื่องมาจนถึงวินาทีนี้
และมันแสดงให้เห็นด้วยว่า โลกยังคงมีชนชั้นทางสังคม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติหรือความเชื่อของคนอื่น ฯลฯ และไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยถอยลงง่าย ๆ ในเมื่อวิธีการขับเคลื่อนสังคมทั้งสองแนวคิดต่างกันสุดขั้ว สำหรับเราผู้เขียนเอง มองว่า Woke คือวิธีการส่งเสียงรูปแบบหนึ่ง ซึ่งอาจไม่ถูกใจคนอีกกลุ่ม ทว่าประเด็นหลัก ๆ ที่ Woke ส่งเสียงก็ไม่ควรถูกมองว่าเป็นเพียงปัญหาระดับปัจเจก
อีกแง่มุมหนึ่ง เมื่อ Woke พูดถึงการโอบรับความหลากหลายจากปัญหาร้อยพันหมื่นเรื่อง แนวคิดของกลุ่ม Anti Woke ก็อาจนับเป็นส่วนหนึ่งในความหลากหลายนั้นด้วย
ประเด็นก็คือ โลกจะทำอย่างไรให้การอยู่ร่วมกันของคนสองกลุ่มยืนหยุ่นมากพอจะไม่ต้องฆ่าล้างบางกัน ทำให้ Woke กลายเป็นพลังแห่งขับเคลื่อนทางการเมืองมากขึ้น มากกว่าการโวยวายเฉพาะตัวบุคคล และทำให้ Anti Woke มองเห็นคุณค่า ไม่ลดทอนผลประโยชน์ร่วมกันจากประเด็นมากมายที่ Woke ทั้งหลายเรียกร้อง
พอทุกคนโอเค คราวนี้ไม่ว่า Woke หรือ Anti Woke ก็อาจกลายเป็นเพียงตำนาน แต่ดูจากสถานการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมา บทสรุปเช่นนี้ก็ยังดูเป็นไปได้ยากมาก ๆ อยู่ดี สำหรับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ทะเลาะกันไปเรื่อยๆ อาจจะง่ายกว่า